สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 331

หลังจากพูดคุยกันสักพัก อินชิงเสวียนก็ลุกขึ้นและกล่าวลา

กลิ่นควันบุหรี่ของเย่จิ่งหลานทำให้นางเวียนศีรษะมาก

อันไท่ผินเอาของเล่นที่ดูน่าสนุกให้เสี่ยว‍หนาน‍เฟิงมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นของเล่นที่เย่จิ่งหลานเคยเล่นเมื่อตอนที่เขายังเด็ก

เมื่อเห็นนางมองเย่จิ่งหลานด้วยความรัก อินชิงเสวียนก็ไม่วายเศร้าใจ ถ้ารู้ว่าลูกชายของนางถูกสับเปลี่ยนวิญญาณ นางจะคิดอย่างไรก็ไม่รู้

เย่จิ่งหลานออกไปส่งอินชิงเสวียนที่ประตูด้วยกิริยาท่าทางนอบน้อมเช่นเคย

เมื่อกลับมาที่ตำหนักจินหวู เสี่ยว‍หนาน‍เฟิงก็หลับไปแล้ว

อวิ๋นฉ่ายพูดด้วยรอยยิ้มว่า “อันไท่ผินหยอกเย้าเด็กเก่งมากเพคะ องค์ชายน้อยคงจะเล่นจนเหนื่อย”

อินชิงเสวียนเอื้อมมือไปอุ้มลูกออกมา ตบหลังเขาเบาๆ

“ใช่ หายากที่เขาจะนอนกลางวันได้สักพัก พวกเจ้าก็ไปพักผ่อนเถอะ ข้าอยู่กับเขาก็พอ”

อวิ๋นฉ่ายกับเสี่ยวอานจื่อขานรับคำ แล้วถอยออกไป

อินชิงเสวียนวางเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงลงบนเตียง จากนั้นพิจารณาดูหน้าตาของเขา ช่างมีประพิมพ์ประพายคล้ายกับเย่‍จิ่ง‍อวี้ยิ่งนัก โดยเฉพาะท่าทางการขมวดคิ้วซึ่งเหมือนกับท่าทางของฮ่องเต้ไม่มีผิดเลย

ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น เป็น‍จิ่ง‍อวี้ที่เดินเข้ามาจากด้านนอก

อินชิงเสวียนทำท่าบอกให้เขาเงียบๆ เพราะกลัวว่าเขาจะรบกวนเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงให้ตื่น

เย่‍จิ่ง‍อวี้ค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าให้เบาลงอย่างรู้งาน เดินไปที่เตียงและถามด้วยเสียงแผ่วเบา

“วันนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงหลับไปได้”

“คงเล่นกับอันไท่ผินจนเหนื่อยกระมังเพคะ”

อินชิงเสวียนตบน่องขาของเสี่ยว‍หนาน‍เฟิง ซึ่งสัมผัสนั้นช่างนุ่มนิ่มให้ความรู้สึกดีเป็นพิเศษ

เย่‍จิ่ง‍อวี้เลิกเรียวตาหงส์ขึ้นมอง

“เจ้าไปที่ตำหนักฉู่เย่ว์มาหรือ”

“ฝูอี้อ๋องช่วยเหลือไว้มาก อย่างไรก็ต้องไปขอบคุณบ้าง”

เย่‍จิ่ง‍อวี้นั่งลงข้างเตียง พลางถามอย่างงุนงง “เหตุใดเจ้าถึงรู้ว่าเขามีทักษะทางการแพทย์”

“บังเอิญน่ะ”

อินชิงเสวียนอธิบายสั้นๆ ถึงตอนที่นางได้พบกับเย่จิ่งหลาน และเย่จิ่งหลานที่อาสามารักษาอาการบาดเจ็บของเย่‍จิ่ง‍อวี้ในตำหนักเฉิงเทียน

จู่ๆ เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็พูดว่า “เป็นเขาจริงๆ ข้าเห็นวิธีพันผ้าพันแผลตอนที่เขาทำแผลให้จอมพลเฒ่าก็สงสัยอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเขาพำนักอยู่ในวังหลวงมานาน แล้วจะรู้ทักษะทางการแพทย์ได้อย่างไร”

“เรื่องนี้หม่อมฉันก็ไม่ทราบเพคะ แต่สรุปแล้วเขาก็ไม่มีเจตนาร้ายต่อฝ่าบาท”

จากนั้นจึงถามหยั่งเชิงว่า “ถ้าเขาจะออกไปมีจวนเป็นของตัวเอง ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะอนุญาตหรือไม่”

เย่‍จิ่ง‍อวี้เหลือบมองไปด้านข้าง “เรื่องนี้คงเป็นเย่จิ่งหลานที่ฝากเจ้ามาถามข้ากระมัง”

อินชิงเสวียนหัวเราะแห้งๆ แล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง เดาถูกในทันที หม่อมฉันเคารพฝ่าบาทมากเท่ากับ...”

เย่‍จิ่ง‍อวี้พูดตัดบททันที “หยุดเลย ไม่ต้องแกล้งยอข้า เรื่องนี้ไม่เหมาะสม ยิ่งไม่ใช่เรื่องของเจ้าด้วย”

“ธรรมเนียมปฏิบัติล้วนเกิดจากมนุษย์เป็นผู้กำหนดขึ้น ฝ่าบาทแค่หาเหตุผลอะไรก็ได้ เรื่องนี้คงไม่ยากกระมัง”

อินชิงเสวียนดึงแขนเสื้อพูดฉอเลาะเย่‍จิ่ง‍อวี้ ที่แม้แต่ตัวเองยังรู้สึกเก้อเขิน

พอได้ฟังเสียงอ้อนของนาง เย่‍จิ่ง‍อวี้กลับไม่รู้จะทำตัวอย่างไร

แต่ถึงกระนั้นการที่นางออดอ้อนเช่นนี้ช่างหาได้ยากยิ่งนัก จึงพูดว่า “พรุ่งนี้ก็เป็นงานเลี้ยงในวังแล้ว เรื่องนี้เอาไว้ค่อยว่ากันภายหลังเถอะ”

อินชิงเสวียนกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”

คืนนั้นเย่‍จิ่ง‍อวี้ก็รั้งอยู่ในตำหนักไม่อาย ซึ่งถือโอกาสแช่ตัวในน้ำพุวิญญาณไปด้วย

เช้าวันรุ่งขึ้น อันเป็นวันหยุดพักผ่อน

เพียงพริบตาก็ถึงยามโหย่วแล้ว (17.00-19.00น.)

อวิ๋นฉ่ายแต่งตัวให้อินชิงเสวียนด้วยเสื้อผ้าชุดสวยหรู

มวยผมที่ห้อยต่ำปักประดับด้วยดอกโบตั๋นอันเป็นสัญลักษณ์ของนางสนม ชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนปักลายดอกโบตั๋นสีขาวสลับสีชมพูอย่างประณีต แต่งขอบด้วยด้ายสีเงินเป็นลายเมฆามงคลหลายดวงที่ชายเสื้อและปลายแขน คอเสื้อสีขาวราวกับหิมะรับกับสร้อยคอจี้สีแดงที่แกะสลักเป็นดอกโบตั๋น จับคู่กับเสื้อคลุมผ้าไหมสีอ่อนทั้งตัวดูสุภาพเยือกเย็น หรูหรา และสง่างามเป็นพิเศษ

อวิ๋นฉ่ายอดไม่ได้ที่จะชมเชย “พระสนมงดงามมากเพคะ”

ใบหน้านี้สวยงามมากจริงๆ เมื่อมองดูใบหน้าที่งดงามหยาดเยิ้มนี้ อินชิงเสวียนก็มิวายรู้สึกเสียดายแทนเจ้าของร่างเดิม

เกิดมามีกายสังขารที่ดีแบบนี้ ทำไมถึงคิดไม่ได้ ไปชอบผู้ชายเลวๆ ด้วย คนหนอคน เข้าใจยากจริงๆ

นางจัดแต่งผมที่ตกลงมาตรงขมับ ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “จวนจะได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะ ประเดี๋ยวก็จะมีเรื่องสนุกๆ ให้ดูด้วยแน่ะ”

ซึ่งในตอนนี้ สวนบุปผาหลวงก็เต็มไปด้วยเหล่าบรรดาขุนนางข้าราชบริพารแล้ว

ทุกคนนั่งลงตามตำแหน่งทางการ ซูฉ่ายเวยกับกลุ่มนายหญิงก็มาถึงสวนบุปผาหลวงและกำลังคุยกันอยู่ ส่วนสวีจือย่วนกับหานปิงยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง กำลังมองดูบิดาของตนจากไกลๆ

แม้ว่าอาการบวมบนใบหน้าของนางจะบรรเทาลงแล้ว แต่ก็ยังสามารถเห็นรอยปูดนูนบนศีรษะของนาง ซึ่งเป็นรอยปูดที่ลู่จิ้งเสียนเป็นคนทุบไว้

เพียงชั่วพริบตาท้องฟ้าก็มืดแล้ว มีคนในวังคอยถือโคมวังหลวง

เย่‍จิ่ง‍อวี้ที่สวมชุดลำลอง ได้เดินเข้าไปในสวนบุปผาหลวงด้วยก้าวย่างที่สงบและท่วงท่าสง่างาม

มุมปากของเขาประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ ทว่าแววตากลับไม่ยิ้ม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์