ณ ตำหนักฉือหนิง
บรรยากาศเงียบเชียบ
ภายในตำหนักไม่เห็นนางกำนัลหรือขันทีเลยสักคน
เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วและพูดอย่างเกรี้ยวกราดเล็กน้อย “พวกบ่าวชาติสุนัขนี่ ไม่รู้จักดูแลไทเฮาให้ดี ไปอยู่ไหนกันหมด”
ครั้นเดินตรงไปอีก ก็เห็นประตูห้องโถงใหญ่ที่ปิดสนิท
หลี่เต๋อฝูวิ่งไปเปิดประตู แต่กลับเปิดไม่ได้
“ฝ่าบาท ดูเหมือนว่ามีคนอยู่ข้างในพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของเย่จิ่งอวี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ไทเฮาประชวรอยู่ไม่ใช่รึ ไปเปิดออก ข้าจะเตะประตูช่วยเอง”
หลี่เต๋อฝูรีบวิ่งไปรอที่ข้างๆ ทันที
เย่จิ่งอวี้ยกเสื้อคลุมรวบรวมพลังทั้งหมด จากนั้นเตะออกไป แล้วประตูก็เปิดออกด้วยเสียงดังปัง
ภายในห้องโถง ไทเฮาอยู่ในสภาพที่เสื้อผ้าหน้าผมไม่เรียบร้อย กำลังกลิ้งอยู่ที่พื้นกับหลวงจีนผู้หนึ่ง
เหล่าขุนนางเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนต่างก็ยืนอยู่ข้างหลังเย่จิ่งอวี้ เมื่อเห็นภาพตรงหน้านี้ต่างก็เบือนหน้าหนีโดยพลัน
ไทเฮาชันษาขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่ยังทำความวุ่นวายในวังหลังได้ ทนมองต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ
เย่จิ่งอวี้ผงะไปพักหนึ่ง แล้วตะโกนด้วยความโกรธ “ไทเฮาท่าน...ท่านทำอย่างนี้ได้อย่างไร เอาเกียรติของราชวงศ์ไปไว้ที่ไหนแล้ว”
ไทเฮาได้สูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้ว เสื้อแสงหลุดลุ่ย มือและเท้ากอดก่ายเสวียนเทียน
ลู่จิ้งเสียนตกใจมากจนหน้าซีด ตะโกนว่า “เด็กๆ จับหลวงจีนชั่วผู้นี้ไปเร็ว”
เย่จิ่งอวี้โกรธมากจนเส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน
เขาตะโกนด้วยความโกรธ “ใครก็ได้มาจับสองคนนี้ แล้วส่งตัวไปคุกหลวงเถอะ ข้าจะสอบปากคำพวกเขาด้วยตัวเอง”
สีหน้าของลู่จิ้งเสียนซีดเผือด หากไทเฮาจนสิ้น วังหลังจะมีที่ว่างสำหรับนางงั้นหรือ
จึงทรุดตัวลงคุกเข่าลงต่อหน้าเย่จิ่งอวี้เสียงดังตุบ
“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะด้วยเพคะ ต้องเป็นหลวงจีนชั่วที่มีเจตนาร้าย ล่อลวงไทเฮา ขอฝ่าบาทโปรดถอนรับสั่งด้วย”
เย่จิ่งอวี้เตะนางออกไป แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “ยังไม่รีบลงมืออีกรึ”
ทหารองครักษ์กลุ่มหนึ่งรีบเข้ามาและแยกทั้งสองออกจากกันทันที
เย่จิ่งอวี้กล่าวอย่างเย็นชา “หลวงจีนชั่วเสวียนเทียนผู้นี้ คงใช้ใบหน้านี้ล่อลวงให้ลุ่มหลง จงเผาใบหน้านี้ของเขาซะ แม้ว่าจะตายเป็นผีแล้ว ข้าก็จะทำให้เขาไม่สามารถเงยหน้าขึ้นได้อีก”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าทหารองครักษ์ตะโกนพร้อมกัน จากนั้นพาเสวียนเทียนและไทเฮาที่อยู่ในสภาพผมเผ้าหยุ่งเหยิงออกจากตำหนักฉือหนิง
ท่ามกลางฝูงชน ราชเลขาธิการลู่ทงกำลังตัวสั่นเทา
ยามนี้ตำแหน่งของเขาก็เป็นเพียงตำแหน่งแค่ในนามเท่านั้น หากเกิดอะไรขึ้นกับไทเฮา ตัวเองก็จะต้องจบเห่แน่นอน
เมื่อเห็นลู่จิ้งเสียนถูกเตะ เขาก็ไม่กล้าพูด เหงื่อกาฬไหลทะลักลงมาที่คอ
ส่วนคนที่เหลือต่างก็อกสั่นขวัญแขวนเช่นกัน
พวกเขาทั้งหมดต่างก็นึกเสียใจว่าทำไมพวกเขาถึงได้ปากไว ยืนกรานที่จะมาเยี่ยมไทเฮาให้ได้
ซึ่งการเห็นความลับของราชวงศ์เช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องดีอะไร
เย่จิ่งอวี้หันกลับมาแล้ว ใบหน้าเย็นชาราวกับน้ำแข็ง นัยน์ตาฉายแววเดือดดาลเต็มที่
เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ทุกคนต่างก็หวาดกลัวและคุกเข่าลงกับพื้น
“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะด้วย พระวรกายสำคัญกว่า”
เย่จิ่งอวี้รวบนิ้วกำแน่น เสียงข้อนิ้วหักดังกร้วม เมื่ออยู่ท่ามกลางคืนอันเงียบสงบเช่นนี้ยิ่งเป็นเสียงที่ดังเสียดหูยิ่งนัก ทำให้ทุกคนต่างก็ตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึง
เขาพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “ไทเฮาทรงประชวรหนัก หมอหลวงรักษาอยู่นานก็ไม่เป็นผล บางทีอาจจะสิ้นพระชนม์ในไม่ช้านี้ พวกท่านทราบแล้วหรือยัง”
การที่ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้ถือเป็นการให้เกียรติแก่ไทเฮาอย่างสูงสุดแล้ว แน่นอนว่าไม่มีใครในหมู่ขุนนางจะกล้ายั่วโมโหให้เสื่อมพระเกียรติ
ทุกคนพูดพร้อมเพรียงกันว่า “พวกกระหม่อมทราบแล้ว ฝ่าบาททรงกตัญญูต่อองค์ไทเฮาอย่างที่สุดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นได้ยินดังนี้ ร่างของลู่ทงก็สั่นเป็นเจ้าเข้าทรง สีหน้าซีดเซียวราวกับกระดาษ
ในใจอดไม่ได้ที่จะก่นด่าว่ากล่าวไทเฮาที่แก่แต่ไร้เกียรติ ไปมั่วกับหลวงจีนเสียได้ คราวนี้ตระกูลลู่ได้จบสิ้นแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...