อินชิงเสวียนเงยใบหน้าดวงน้อยอันงดงามขึ้นถามว่า “อาจจะอะไรหรือเพคะ”
เย่จิ่งอวี้ถอนหายใจ “ไม่มีอะไร ข้าจะส่งคนไปรอรับพ่อของเจ้า เจ้าไม่ต้องกังวล”
อินชิงเสวียนคิดอยู่นาน ในที่สุดก็พอจะคิดอะไรบางอย่างออก
“ฝ่าบาทกลัวว่าเขาจะปลอมตัวเป็นอินสิงอวิ๋น ไปลอบสังหารท่านพ่อหม่อมฉันหรือเพคะ”
เย่จิ่งอวี้ยืดนิ้วชี้อันเรียวยาวของเขาออก และจิ้มดั้งจมูกของนาง
“เรื่องอะไรก็ปกปิดความคิดของเจ้าไม่ได้จริงๆ”
อินชิงเสวียนพูดอย่างช่วยไม่ได้ “หม่อมฉันโง่เขลา ต้องคิดอยู่สักพัก จึงจะเข้าใจ”
เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ “ถ้าเสวียนเอ๋อร์โง่ ในโลกนี้คงไม่มีคนฉลาดอีกแล้วกระมัง”
อินชิงเสวียนถอนหายใจและพูดว่า “คราวนี้ฝ่าบาทตรัสเกินจริงจริงแล้ว หม่อมฉันเกิดมาก็ไม่ชอบใช้สมอง และไม่ชอบชีวิตที่ซับซ้อน หลังจากที่ใส่เรื่องราวเข้าไปมากมาย หัวสมองจวนจะระเบิดอยู่แล้ว”
“ผิดแล้ว หัวสมองยิ่งใช้ยิ่งฉลาด ไม่ต้องห่วง หัวสมองของเจ้าจะอยู่คู่คอของเข้าไปอีกนาน”
อินชิงเสวียนหันขวับ ทันใดนั้นก็เห็นดวงตาที่ยิ้มแย้มคู่หนึ่ง
ในความมืด เรียวตาหงส์ของเย่จิ่งอวี้เป็นประกายระยิบระยับ ราวกับว่ามีดวงดาราซุกซ่อนอยู่ในนั้น ซึ่งเป็นดั่งแม่เหล็กที่ดึงดูดให้ไม่อาจละสายตาได้
หลังจากสบตากันครู่หนึ่ง อินชิงเสวียนก็รีบเสมองไปทางอื่น
ดวงตาคู่นั้นเหมือนจะมีแรงดึงดูดที่น่ากลัว หากมองนานเกินไป อินชิงเสวียนเกรงว่าวิญญาณของนางจะถูกเขาดูดไปหมด
หลังจากผ่านไปราวๆ สิบห้านาที ทั้งสองก็มาถึงคุกหลวง
ทันทีที่มาถึงประตู ก็ได้ยินเสียงอันแหลมคมที่กำลังกรีดร้อง “เจ้าพวกทาสสุนัข ปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้ ข้าถูกใส่ร้าย”
“ใครก็ได้มานี่หน่อย เย่จิ่งอวี้ เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”
ที่ห้องทรมาน
ไทเฮาถูกมัดติดกับเสา อาภรณ์ถูกน้ำเย็นจัดสาดจนเปียกโชก เส้นเกศาที่ยุ่งเหยิงมีน้ำหยดลงมา
เย่จิ่งอวี้เดินเยื้องกรายเข้ามา สายตาเต็มไปด้วยการเย้ยหยัน
“ไทเฮาลองใช้ความคิดดูสิ เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าชะตากรรมแบบไหนรออยู่”
เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้ ไทเฮาก็แทบคลั่งทันที ในเวลานี้นางปราศจากลักษณะอันน่าเกรงขามอย่างที่ไทเฮาพึงมีอีกต่อไป กลายเป็นเหมือนหญิงสติเลอะเลือนกลางตลาดสด ด่าสาดเสียเทเสียว่า “เย่จิ่งอวี้ เจ้าสารเลว เจ้าปล้นชิงบัลลังก์ไป แถมยังคิดจะจกำจัดข้าอีก เจ้าต้องไม่ได้ตายดีแน่นอน”
ใบหน้าของเย่จิ่งอวี้สงบ ในดวงตาไม่มีความความรู้สึกใด
“ข้าเป็นรัชทายาทอยู่ก่อนแล้ว การขึ้นครองบัลลังก์ไม่เหมาะสมอย่างไร กลับเป็นไทเฮาเสียอีกที่มีเจตนาชั่วร้าย ลงมือทำร้ายจ้าวเอ๋อร์ลูกชายของข้าหลายครั้ง อีกทั้งยังมีความทะเยอทะยานไม่สิ้น ไม่สนใจลำดับเชื้อสาย ต้องการสนับสนุนเย่จิ่งเย่าให้ขึ้นครองราชบัลลังก์ ไม่คิดเลยว่าเจ้านั่นเป็นเหมือนไม้หลักปักเลน ตอนนี้ยังกล้าพูดแบบนี้กับข้าอีก ไม่คิดว่าน่าขันรึ”
“เจ้าเด็กเปรตนั่นเกิดในวังเย็น ใครจะรู้ว่าเป็นลูกของใคร ที่ข้าเช่นนี้ ก็เพื่อปกป้องสายโลหิตของราชวงศ์”
นางหายใจเข้าช้าๆ แล้วพูดว่า “ตั้งแต่สมัยโบราณลูกสายตรงและสายรองแตกต่างกัน เย่าเอ๋อร์เป็นโอรสสายตรงของฮ่องเต้องค์ก่อน ดังนั้นเขาจึงควรเป็นฮ่องเต้ ที่ฮ่องเต้องค์ก่อนแต่งตั้งเจ้าเป็นรัชทายาท ก็เพราะว่าแม่ของเจ้าใช้เสน่ห์ยั่วยวน ทำให้ฮ่องเต้องค์ก่อนลุ่มหลงเลอะเลือน เจ้าไม่คู่ควรกับการเป็นรัชทายาทเลยด้วยซ้ำ”
เสียงของไทเฮาแหลมสูง ขณะที่นางตะโกนสายโซ่ตรวนก็ส่งเสียงกระทบกัน
“หุบปาก!”
เมื่อได้ยินนางพูดถึงเสด็จแม่ของเขา ใบหน้าของเย่จิ่งอวี้ก็มืดลง
เสียงเย็นชาราวกับจะทำให้น้ำแข็งแตกออกโดยฉับพลัน อากาศโดยรอบดูเหมือนจะเย็นลงเล็กน้อย
“ถ้ากล้าพูดอีกคำ ก็อย่าหาว่าข้าใจร้าย”
ไทเฮาก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ถึงแม้ข้าไม่พูด แต่เจ้ายังจะปรานีต่อข้างั้นรึ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...