สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 34

เสี่ยวอานจื่อคุกเข่าลงอย่างร้อนรน

"บ่าวถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ"

เมื่อได้ยินว่าเป็นไทเฮา อินชิงเสวียนเองก็รีบคุกเข่าลงเช่นกัน

สายตาของเย่จิ่งอวี้มองไปที่ท้ายทอยของเธอ ความโกรธก็ฉายแววเล็กน้อยในดวงตา

เจ้าบ่าวเลวเมื่อคืนนี้ก็หนีหายไปทั้งคืน

ทว่ากลับได้ยินไทเฮาตรัสว่า "ลุกขึ้นมาเถิด"

อินชิงเสวียนไม่รู้ว่าไทเฮารู้จักตนเองหรือไม่ เธอลุกไปยืนด้านข้างพร้อมก้มศรีษะต่ำ

เย่จิ่งอวี้กับไทเฮาเข้าไปในห้องหนังสือแล้ว

ไทเฮานั่งลงบนเก้าอี้ หยิบชาบนโต๊ะขึ้นมาจิบเบาๆ แล้วตรัสว่า "ข้าได้ยินมาว่าฝ่าบาทสั่งให้คนขุดถอนต้นไม้ใบหญ้าในสวนอวิ๋นเซียง และปลูกเมล็ดข้าวสาลีอะไรสักอย่าง ข้าวสาลีคืออะไรหรือ?"

"สิ่งนี้เป็นของที่มาจากฮว๋าเซี่ย สามารถโม่เป็นอาหารที่มีลักษณะสีขาวละเอียด"

เย่จิ่งอวี้ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จากนั้นก็พูดต่อว่า "ตอนนี้ปัญหาภัยแล้งยังมิได้รับการแก้ไข เมล็ดพันธ์ุสำหรับปีหน้านั้นก็เป็นปัญหา หากเมล็ดพันธ์ุในสวนอวิ๋นเซียงสามารถเพาะปลูกได้สำเร็จ จะต้องมีเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีให้เก็บจำนวนไม่น้อย ซึ่งก็นับว่ามีความหวังเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งหนทาง"

ไทเฮายิ้มเบาๆ แล้วตรัสว่า "ฝ่าบาททรงห่วงใยชาวประชาเช่นนี้ เรียกว่าเป็นนายดีที่หาได้ยาก เพียงแต่โบราณได้ว่าไว้ครอบครัวสมัครสมานกิจการจึ่งล่วงลุผล"

ไทเฮาเว้นวรรคครู่หนึ่ง แล้วตรัสอย่างจริงจังว่า "ข้าได้ยินว่าฝ่าบาทลงโทษเสียนเฟยให้ไปอยู่ที่หอซ่งจิงเพียงเพราะขันทีเล็กๆ คนหนึ่ง เช่นนี้ถือว่าทำเกินไปแล้ว แม้ว่าเสียนเอ๋อร์จะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่กับฝ่าบาทนั้นนางจริงใจเสมอ ฝ่าบาทแสร้งทำทีก็แล้วไป แต่เพื่อขันทีคนหนึ่งทำให้ต่อกระทบความสัมพันธ์ของพวกเจ้านั้นเป็นสิ่งไม่จำเป็นอย่างยิ่ง"

อินชิงเสวียนที่ยืนอยู่หน้าประตูได้ยินชัดเจนเต็มสองหู

ความประทับที่มีต่อหญิงชราคนนี้ลดฮวบลงทันที

อะไรคือการบอกว่าแค่บ่าวคนเดียวไม่สำคัญ เป็นบ่าวก็สมควรตายอย่างนั้นหรือ?

บัดซบ รอเจ้าหมาน้อยโตขึ้นจะให้มาจัดการปีศาจยายเฒ่าไปด้วยเลย

ทว่ากลับได้ยินเย่จิ่งอวี้พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "ข้าแต่งตั้งให้นางเป็นสนมตามที่เสด็จแม่ต้องการแล้ว หกวังไม่มีผู้ใดเหนือกว่านาง นางกลับลดทอนคุณค่าของตนเองลงไม้ลงมือกับขันทีคนหนึ่ง หากเรื่องนี้แพร่พรายออกไป จะไม่เป็นการเสื่อมเสียหรือ?

สีหน้าไทเฮาดูย่ำแย่เล็กน้อย แต่ก็ยังพูดด้วยรอยยิ้มว่า "ต้องเป็นเพราะขันทีคนนั้นทำบางอย่างล่วงเกินเสียนเอ๋อร์แน่ๆ ฝ่าบาทก็ควรจะตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนจะลงโทษ"

"ข้าไม่อยากลำเอียงเข้าข้างผู้ใดผู้หนึ่ง และไม่ลงโทษใครผิดเป็นอันขาด หากไทเฮาไม่มีธุระอื่น ก็กลับวังเสียเถิด"

เย่จิ่งอวี้หยิบฎีกาขึ้นมา และเริ่มตรวจตรา

ไทเฮาเม้มปาก จากนั้นก็เก็บซ่อนความโกรธในดวงตาเอาไว้

"ฝ่าบาทมีราชกิจต้องทำ ข้าก็ไม่อยู่รบกวนแล้ว เพียงแต่มีอีกเรื่องหนึ่งข้าอยากบอกฝ่าบาทให้ทราบไว้"

"เชิญไทเฮาพูด"

เย่จิ่งอวี้ไม่ได้เงยหน้า

ความเยือกเย็นฉายแววเพียงพริบตาในดวงตาของไทเฮา จากนั้นก็ยิ้มและพูดว่า "อันผิงอ๋องที่ไปเฝ้าสุสานราชวงศ์ตามรับสั่ง บัดนี้ได้เวลาครบกำหนดหนึ่งปีแล้ว ข้าคิดว่าจะส่งคนไปรับเขากลับมา"

เย่จิ่งอวี้เกิดหางตากระตุก วางพู่กันลงแล้วพูดว่า "ข่าจะส่งคนไปรับเอง เพื่อเป็นการแสดงความเมตตาของกษัตริย์"

เมื่อได้ยินดังนั้น ในที่สุดใบหน้าของไทเฮาก็มีรอยยิ้มแต่งแต้ม

"ดี เช่นนั้นข้าจะกลับไปรอข่าวจากเจ้า"

เย่จิ่งอวี้โค้งคำนับเล็กน้อย "ไทเฮาเดินทางปลอดภัย"

อินชิงเสวียนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูได้ยินอย่างชัดเจน เดาว่าอันผิงอ๋องน่าจะเป็นเย่จิ่งเย่า ผู้ชายชาติชั่วคนนั้น เมื่อคิดว่าเขาจะกลับมาแล้วก็อดที่จะโกรธแค้นใจไม่ได้

แต่ทุกสิ่งย่อมมีลำดับความสำคัญ ตอนนี้ต้องจัดการพี่น้องตระกูลหวังก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน

เมื่อคิดได้ดังนั้น อินชิงเสวียนก็เดินเข้าไปในห้องหนังสือทันที และยกชายเสื้อคุกเข่าลงบนพื้น

"ฝ่าบาท พระองค์ได้โปรดช่วยบ่าวด้วยพ่ะย่ะค่ะ"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์