ในเวลานี้ เสียงร้องไห้ของเด็กทารกดังมาจากในบ้าน สีหน้าท่าทางของชายผมขาวก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็แวบหายเข้าไปในเรือน
ฝ่ามือของเย่จิ่งอวี้สะบัดได้เพียงความว่างเปล่า จากนั้นคนก็ตามเข้าไปในเรือน
เย่จั้นก็ตามไปติดๆ ทั้งสองทยอยเข้าประตูไป และแน่นอนว่าพวกเขาเห็นเสี่ยวหนานเฟิงอยู่ในอ้อมแขนของชายคนนั้น
เสี่ยวหนานเฟิงไม่กลัวคนแปลกหน้าแม้แต่น้อย เอาแก้มแนบชายผมขาวอย่างเชื่อฟัง จากนั้นเย่จิ่งอวี้ก็เห็นหยดน้ำไหลลงมาตามแขนเสื้อของชายผมขาว
หลังจากที่เสี่ยวหนานเฟิงปัสสาวะเสร็จ เขาก็มีความสุข ชี้นิ้วป้อมๆ ไปที่เย่จิ่งอวี้ และพูดด้วยเสียงเจื้อยแจ้วของเด็ก “เด็จพ่อ~”
“จ้าวเอ๋อร์!”
เมื่อได้ยินลูกชายเรียกตัวเอง ขอบตาของเย่จิ่งอวี้แดงก่ำ
เห็นลูกอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ เย่จิ่งอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น
วันนี้ถึงต้องเสี่ยงชีวิตก็พาเขากลับวังให้ได้
ในเวลานี้ บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เย่จิ่งอวี้และเย่จั้นดูเหมือนจะถูกผลักด้วยพลังมหาศาล จนพวกเขาถอยออกไปก้าวหนึ่ง
ชายผมขาวได้ผลักกำลังภายในของเขา คราบน้ำบนแขนเสื้อของเขาแห้งทันที เขาเงยหน้าขึ้น แล้วพูดเบาๆ ว่า “เห็นแก่เด็ก ข้าจะไม่ทำร้ายพวกเจ้า บัดนี้พวกเจ้าก็ได้เจอเด็กแล้ว อย่าได้คืบจะเอาศอก พอกลับวังไปแล้ว ให้ส่งแม่แกะที่มีน้ำนมมา เมื่อข้าได้เจอแม่หนูนั่น ข้าจะมอบเด็กให้นางเอง”
เมื่อเห็นเสี่ยวหนานเฟิงที่ดูร่าเริง เย่จิ่งอวี้ก็ค่อยๆ ปล่อยนิ้วที่กำแน่น
ตอนนี้อาซือหลานกำลังเฝ้าดูจากความมืด บางทีอาจมีกลอุบายสกปรกอื่นๆ การนำเด็กไว้ที่นี่อาจเป็นเรื่องที่ดี ตัวเขายังสามารถจัดการกับเรื่องอื่นได้โดยไม่ต้องพะวง
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เย่จิ่งอวี้ก็ประกบมือคารวะ พูดว่า “ผู้เยาว์จะให้คนส่งอาหารให้กับเด็ก ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสต้องการสาวใช้หรือไม่”
“ไม่จำเป็น ถึงเวลาที่พวกเจ้าต้องไปแล้ว”
ชายผมขาวสะบัดแขนเสื้อของเขาอีกครั้ง เย่จิ่งอวี้และเย่จั้นก็ถูกพาออกมานอกประตูทันที
ใบหน้าของเย่จั้นมืดลงเล็กน้อย ยกฝ่ามือขึ้น แต่ข้อมือของเขาถูกเย่จิ่งอวี้จับไว้
“ไปกันเถอะ”
ทั้งสองเหาะออกจากลานบ้าน และลอยลงบนหลังม้าอย่างแม่นยำ
“ไป!”
เย่จิ่งอวี้ตะโกนเสียงดัง เฟยมั่วก็ยกขาขึ้นและมุ่งหน้าตรงไปที่วัง
หลังจากเข้าวังแล้ว ทั้งสองก็ลงจากหลังม้า
เย่จั้นถามว่า “เจ้าไม่ต้องการลูกแล้วหรือ”
เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงแล้วพูดว่า “แน่นอนว่าต้องการ แต่ตอนนี้อาจไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม”
เย่จั้นตกใจเล็กน้อย “ฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไร”
เย่จิ่งอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “ในช่วงสองวันนี้จะมีขุนนางเข้ามาร่วมไว้อาลัย ในวังจะมีผู้คนพลุกพล่าน ตำหนักจินหวูอาจไม่ปลอดภัย ถ้าให้อยู่ที่อื่นอาจจะปลอดภัยกว่า”
เย่จั้นเข้าใจทันที เขาพยักหน้า
“จริงด้วย”
ก่อนหน้านี้เย่จั้นกลัวว่าเย่จิ่งอวี้จะโกรธชายผมขาว ไปแย่งตัวเด็กมา จนอาจไปทำร้ายเสี่ยวหนานเฟิงได้ แต่ตอนนี้เขาโล่งใจเมื่อเห็นว่าหลานชายของเขาคิดได้อย่างชัดเจนเช่นนี้
“ในเมื่อฝ่าบาทตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นก็จัดการธุระอยู่ในวังเถอะ เรื่องเหยาเฟย ข้าจะพยายามตามหาอย่างเต็มที่”
หลังจากที่เย่จั้นพูดจบ เขาก็ตระหนักว่าไป๋เสวี่ยไม่ได้ตามกลับมาด้วย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
“หรือว่าเจ้าสุนัขสังเกตเห็นอะไร”
เย่จิ่งอวี้ก็นึกถึงไป๋เสวี่ยเช่นกัน และพูดอย่างกังวลว่า “เสด็จอารีบออกจากวังไปตามหามันเถอะ”
“ได้” เย่จั้นกระโดดขึ้นหลังม้าอีกครั้ง แล้วควบม้าออกจากวัง
เย่จิ่งอวี้กลับมาที่ห้องหนังสือแล้ว
หลี่เต๋อฝูกำลังกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง ก่อนหน้านี้เขาเห็นฝ่าบาทเร่งรุดออกจากวัง จึงเดาว่าต้องเกี่ยวข้องกับพระสนมเหยาเฟยหรือองค์ชายน้อยแน่นอน ในพริบตา สองชั่วยามผ่านไป เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล
เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้เข้ามาในวังด้วยสีหน้าอึมครึม เขาก็รู้สึกยินดี รีบตามเขาไปทันที
“ฝ่าบาท”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...