การเดินทางระยะไกลไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ด้านในต้นขาของอินชิงเสวียนปวดระบมไปหมด โชคดีที่นางสวมชุดกระโปรงสีดำของฟางรั่ว ถ้านางใส่กางเกง ท่าที่เดินคงจะน่าอายไม่น้อย
นางกุมบังเหียน แล้วเดินโซเซไปทางวังหลวง ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองสวมใส่หน้ากากใบหน้าของฟางรั่วอยู่ ดังนั้นนางจึงรีบหาสถานปลอดคน และถอดหน้ากากออก
หลังจากใช้เวลานานกว่าครึ่งชั่วยาม อินชิงเสวียนก็มาถึงประตูวังในที่สุด
ทหารองครักษ์ย่อมรู้จักนางอยู่แล้ว จึงพูดด้วยความประหลาดใจ “พระสนมเหยาเฟย ท่านกลับมาแล้ว”
อินชิงเสวียนพยักหน้าอย่างเหนื่อยล้า ถามอย่างกังวลทันที “ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง”
ทหารองครักษ์กล่าวว่า “ฝ่าบาททรงสำราญดี ตอนนี้น่าจะอยู่ในห้องหนังสือกระมัง”
เช้านี้เขาเห็นฝ่าบาทและจิ้งอ๋องขี่ม้าออกจากวัง ท่าทางดูกระตือรือร้นมาก
อินชิงเสวียนตกตะลึงเล็กน้อย “ฝ่าบาทปลอดภัยดี? แล้วองค์ชายน้อยล่ะ”
ทหารองครักษ์ยิ่งสับสนมากขึ้นไปอีก “เมื่อวานพระสนมก็อุ้มกลับมาแล้วไม่ใช่หรือ”
เมื่อได้ยินว่าเสี่ยวหนานเฟิงยังอยู่ในวัง อินชิงเสวียนจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เย่จิ่งอวี้คงรู้แผนการของโยวหลานแล้ว พอมาลองคิดดู ถ้าเขาสามารถเป็นฮ่องเต้ได้ เขาจะเหมือนคนธรรมดาได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้นเขาเคยถูกหลอกมาแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าเขายังถูกแทงได้อีก เช่นนั้นก็ไม่ต่างจากคนโง่แล้ว
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แค่ลูกปลอดภัยก็ดีแล้ว
ทหารองครักษ์จูงม้าเข้ามา แต่หนิงซวงกลับทำเสียงฮึดฮัด ไม่ยอมให้เขาสัมผัสตัวมันเลย
อินชิงเสวียนแตะหัวของเจ้าม้าแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “ในวังมีกฎเกณฑ์อยู่ เจ้าไม่สามารถติดตามข้าได้ตลอดเวลา นอกจากนี้เจ้ายังเหนื่อยหลังจากเดินมาไกลขนาดนี้ ตามพวกเขาไปพักผ่อนและกินให้อิ่มเถอะ”
หนิงซวงพาดหัวบนไหล่ของอินชิงเสวียนอย่างไม่เต็มใจ แล้วจึงพยักหน้า
ทหารองครักษ์มอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ ม้าตัวนี้มีจิตวิญญาณจริงๆ สามารถเข้าใจคำพูดของมนุษย์ได้ด้วย
อินชิงเสวียนมอบสายบังเหียนให้เขา “ไปเตรียมอาหารดีๆ ให้ด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ทหารองครักษ์จึงนำม้าไปที่คอกม้าในวัง
อินชิงเสวียนหายใจเข้า เดินตรงเข้าไปในสวนบุปผา กวาดสายตามองไปรอบๆ พอเห็นว่าปลอดคนแล้วนางก็เข้าไปในมิติ
นางรู้สึกไม่สบายมากจนต้องลงไปแช่ตัวในน้ำพุวิญญาณทันที
แต่ในใจนางรู้สึกไม่มีพอใจเล็กน้อย ตัวเองหายตัวไปนะ เย่จิ่งอวี้ไม่ออกไปตามหานาง แต่กลับมีแก่จิตแก่ใจไปคุยธุระเรื่องอื่นได้ ผู้ชายเป็นคนจำพวกหลักลอยเชื่อถือไม่ได้จริงๆ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็ไม่ได้รู้สึกวิตกกังวลขนาดนั้นแล้ว
อาบน้ำสบายๆ ในน้ำพุวิญญาณและถือโอกาสงีบหลับไปด้วย
ห้องหนังสือ
เย่จิ่งอวี้ได้หารือกับขุนนางกรมพิธีการทั้งสองคนเรื่องพิธีเคลื่อนพระศพในวันพรุ่งนี้ หลังจากที่ทั้งสองคนทูลลาไปแล้ว เขาก็เริ่มกระวนกระวายใจอีกครั้ง
เวลาผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ยังไม่มีข่าวเกี่ยวกับเสวียนเอ๋อร์อีก
หรือว่าอาซือหลานพานางออกจากเมืองหลวงได้จริงๆ
หากเป็นเช่นนี้ เขาต้องวางแผนล่วงหน้าแล้ว
หลังจากปิดม้วนไม้ไผ่แล้ว เขาก็พาหลี่เต๋อฝูไปสำนักหมอหลวง
กวนฮั่นหลินอาการดีขึ้นมาก กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวพูดคุยกับหมอหลวงอยู่
แม้ว่าจอมพลเฒ่าจะแก่แล้ว แต่สมรรถภาพทางกายของเขาก็ดีกว่าคนหนุ่มสาวทั่วไป รักษาตัวเวลาเพียงห้าหรือหกวัน เสียงของเขาจะดังกังวานเหมือนกระพรวนอีกครั้ง
เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้ เขาก็โค้งคำนับทันทีและกล่าวว่า “ถวายบังคมฝ่าบาท”
เย่จิ่งอวี้ยื่นมือออกมาช่วยเขาลุกขึ้น “จอมพลเฒ่าตามสบาย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...