อินชิงเสวียนไม่ค่อยเข้าใจรายละเอียดของพิธีการมากนัก เมื่อกำลังลังเลว่าควรเดินตามไปกับพวกเขาหรือไม่ เย่จิ่งอวี้ก็ดึงมือของนางไว้
“กลับไปเถอะ”
“เอ่อ... ดูเหมือนว่าพวกนางจะออกจากวัง?”
อินชิงเสวียนใช้นิ้วชี้ไป
เย่จิ่งอวี้พูดว่า “พวกนางเพียงไปส่งออกนอกประตูวังเท่านั้น ไม่เข้าไปในสุสานราชวงศ์หรอก”
เขาดึงมือของอินชิงเสวียนเดินออกจากแท่นอนุสรณ์ และถามขึ้นว่า “เมื่อครู่เย่จิ่งหลานพูดอะไรกับเจ้า?”
อินชิงเสวียนเม้มปากหัวเราะและพูดว่า “ไม่มีอะไรที่ปิดบังฝ่าบาทได้จริงๆ ฝูอี้อ๋องพูดเรื่องที่จะเปิดจวนเพคะ”
เย่จิ่งอวี้เลิกคิ้ว “เหตุใดเขาจึงอยากออกจากวังมากขนาดนี้?”
อินชิงเสวียนส่ายหัวและพูดว่า “หม่อมฉันก็ไม่ทราบ”
แต่นางคาดเดาว่า เย่จิ่งหลานอยากไป ต้องเกี่ยวกับระบบของเขาเป็นแน่
สิ่งที่เขานำมาด้วยคือระบบการรักษา หากต้องการอัพเลเวล การรักษาคนคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ เหล่าพระสนมนางกำนัลในวังไม่สบายก็มีหมอหลวงทำการรักษา เหล่าคนรับใช้ก็ไปหาลูกศิษย์ของหมอหลวง ระบบของเขาจึงแทบไม่ได้ใช้งานเลย
เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดครูหนึ่งแล้วพูดว่า “เขายังเด็กอยู่มาก ออกจากวังตอนนี้คงไม่เหมาะ”
อินชิงเสวียนพูดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย “อย่างไรสักวันก็ต้องออกจากวังอยู่ดีนะเพคะ ช้าเร็วเพียงไม่กี่ปีมีอะไรต่างกัน ฝ่าบาทอยากให้เขาไปหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับคำบอกเล่าของโหราจารย์ เรื่องนี้ไม่ยากเลยเพคะ”
เย่จิ่งอวี้เหลือบมองนาง พูดทีเล่นทีจริงว่า “คิดว่าเจ้าเตรียมเหตุผลที่จะบอกข้าไว้แล้วใช่หรือไม่?”
อินชิงเสวียนพูดพร้อมกับเบ้ปาก “เรื่องแค่นี้ คงไม่ยากเกินความสามารถของฝ่าบาทผู้ฉลาดปราดเปรื่องของเราหรอกเพคะ”
เมื่อมองเข้าไปในดวงตาเจ้าเล่ห์คู่นั้น เย่จิ่งอวี้ราวกับได้พบเสี่ยวเสวียนจื่ออีกครั้งในชุดขันที ดวงตาที่มีชีวิตชีวาราวกับสุนัขจิ้งจอกตัวน้อย
“ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้าอยากให้เขาออกจากวัง ข้าก็จะให้เขาได้ความดีความชอบไปจากเจ้า”
อินชิงเสวียนสีหน้าเบิกบานในทันที
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ความจริงพวกเราติดค้างเขาอยู่ด้วยซ้ำ บาดแผลของฝ่าบาท เหล่าหมอหลวงต่างไร้หนทางในการรักษา แต่เขาเสนอตัวเองเข้ามาช่วยไว้”
เย่จิ่งอวี้ขานตอบรับ “บุญคุณที่ช่วยเหลือควรได้รับการตอบแทน อีกสักครู่ข้าจะให้คนไปส่งข้าวและหมี่ให้กับอันไท่ผิน ให้พวกนางได้กินได้ใช้”
“ดีเลยเพคะ”
อินชิงเสวียนก็ชอบอันไท่ผินมากเช่นกัน
นางเป็นคนที่ไม่แก่งแย่งชิงดีกับใคร มีเมตตาและอ่อนโยน สายพุทธที่แท้จริง
เมื่อเห็นอินชิงเสวียนมีสีหน้ายิ้มแย้ม เย่จิ่งอวี้ก็อารมณ์ดีไปด้วย
แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าคืนนี้นางต้องไปหาคนบ้าคนนั้น สีหน้าก็ตึงเครียดในทันที
“ทำไมเพคะ หรือว่าฝ่าบาทไม่ชอบอันไท่ผิน?”
อินชิงเสวียนเอียงศีรษะมองเย่จิ่งอวี้ ถามขึ้นด้วยความสงสัย
เย่จิ่งอวี้มองไปด้านหน้า พูดขึ้นด้วยแววตาที่สุขุม “ไม่ใช่หรอก ข้าและอันไท่ผินไม่เคยคุยกันเป็นการส่วนตัว ข้าไม่รู้ว่าควรชอบหรือไม่ชอบนาง ข้าเพียงคิดเรื่องที่เจ้าจะออกจากวังในคนนี้ ข้าไม่ค่อยสบายใจ”
อินชิงเสวียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลาย “ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นกังวลเลยเพคะ เพียงแค่ไปเรียนบรรเลงบทเพลงเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องยากอะไร รอให้หม่อมฉันเรียนได้แล้ว จะมาบรรเลงให้ฝ่าบาทฟังนะเพคะ เพียงแต่ หลายวันนี้ที่หม่อมฉันไม่อยู่ ฝ่าบาทห้ามไปฟังจากที่อื่นนะเพคะ”
เมื่อนึกถึงสวีจือย่วน อินชิงเสวียนก็หุบยิ้มทันที
เย่จิ่งอวี้เข้าใจความคิดของนาง จึงพยักหน้าและพูดว่า “วางใจเถอะ ข้าไม่ใช่คนเลินเล่อแบบนั้น เรื่องที่ข้ารับปากแล้ว ข้าไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ”
“เช่นนั้นก็ดีเลยเพคะ ตอนนี้หม่อมฉันก็เชื่อใจฝ่าบาทแล้ว หากพระองค์มีผู้หญิงคนอื่น หม่อมฉันไม่ยอมเด็ดขาดเลยเพคะ”
อินชิงเสวียนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้าเล็กๆ ตึงเครียดเป็นอย่างมาก
เย่จิ่งอวี้พูดอย่างเย้าแหย่ว่า “เมื่อคืนยังให้ข้ามีสนมหลายคนอยู่เลย วันนี้เปลี่ยนคำพูดแล้วหรือ?”
อินชิงเสวียนพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “วันนี้กับวันนั้นไม่เหมือนกันเพคะ อย่างไรฝ่าบาทก็ห้ามทำผิดต่อหม่อมฉันเด็ดขาด”
เย่จิ่งอวี้ยกมุมปากขึ้น พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เอ็นดู “ได้สิ ข้ารับปากเจ้า เจ็ดวันนี้ ข้าจะรอเจ้าเป็นอย่างดี”
อินชิงเสวียนพยักหน้าอย่างจริงจัง
“อืม เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้นะเพคะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...