ชายผมขาวไม่ได้สนใจเขา และพูดกับอินชิงเสวียนว่า “ไปเล่นเพลงหยกรัตติกาล”
“เจ้าค่ะ”
อินชิงเสวียนพยักหน้าเล็กน้อย เหลือบมองต่งจื่ออวี๋และเดินเข้าไปในบ้าน
จากนั้นก็นั่งลงข้างพิณ แต่ในสมองกลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า
สิ่งที่นางจินตนาการได้มีเพียงภาพมหาคลื่นธารากระแทกฝั่ง และลมที่โหมพัดอย่างบ้าคลั่งแผดเสียงก้อง หากต้องการให้นางบรรเลงดนตรีจากสิ่งเหล่านี้ นางก็ไม่รู้จะเริ่มจากที่ใด
เมื่อนั่งอยู่นาน อินชิงเสวียนก็พูดอย่างเบื่อหน่าย “ผู้เยาว์ยังคงจับใจความไม่ได้”
ชายผมขาวผิดหวังเล็กน้อย
“เช่นนั้นก็จำใจหินผาให้ดีก่อน”
พูดจบก็อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงออกไป
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ถึงเวลาเที่ยงตรง
ในตำหนักจินหลวน หลี่เต๋อฝูตะโกนเพื่อเลิกการประชุมราชวงศ์
เย่จิ่งอวี้กดมือลงบนที่เท้าแขนหัวมังกร และลุกขึ้นจากเก้าอี้มังกร
เสื้อคลุมสีเหลืองสดใสทำให้เขาดูหล่อเหลาและเต็มไปด้วยบารมี ดวงตาคมอันเฉียบแหลมของเขากวาดสายตาไปเหนือเหล่าขุนนาง ทำให้เขาน่าเกรงขามมากทีเดียว
ทุกคนต่างก้มศีรษะลง น้อมตัวถอยออกไปจากตำหนักจินหลวน ไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้าขึ้นมอง
เย่จิ่งอวี้เดินเข้าไปในห้องโถงด้านข้าง หลี่เต๋อฝูรีบนำคนวิ่งเข้ามา เพื่อช่วยเย่จิ่งอวี้ถอดมาลามงกุฎ และเปลี่ยนชุดลำลอง
ฉินเทียนจูงเฟยมั่วมายังประตูห้องโถงด้านข้าง
“ฝ่าบาท พวกเราต้องไปกันแล้ว”
ทหารเปลวเพลิงแดงได้จัดทัพเตรียมออกเดินทางแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ต้องไปพบเย่จั้นให้ได้
ในทุกปีเขาจะกลับมาเนื่องในวันเกิดของไทเฮา ตอนนี้ไทเฮาสิ้นพระชนม์แล้ว ไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกเมื่อใด
เมื่อนึกถึงเสด็จอาที่ปกป้องตัวเองมาตั้งแต่เด็ก เย่จิ่งอวี้ก็ยิ่งทำใจไม่ได้
เขาพลิกตัวขึ้นม้า เมื่อควบลงบนหน้าก็ออกจากวังทันที
ณ ป้อมปราการหลวง เย่จั้นยังคงอยู่ในชุดคลุมสีขาว นั่งอยู่บนหลังม้าศึก ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูเคร่งขรึม และท่าทางการเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างทหารก็ปรากฏให้เห็นชัด
ด้านหลังของเขามีกลุ่มทหารเปลวเพลิงแดงในชุดเกราะสีแดง ราวกับกลุ่มเปลวไฟ ซึ่งทำให้เสื้อคลุมสีขาวราวหิมะดูสะดุดตายิ่งขึ้น
เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้นำกลุ่มทหารวังขี่ม้าเข้ามา เย่จั้นพลิกตัวลงจากม้า เขาสะบัดชุดคลุมออกและคุกเข่าลงบนพื้น และทำความเคารพตามแบบของแม่ทัพ
“กระหม่อมเย่จั้น ขอถวายบังคมฝ่าบาท”
เย่จิ่งอวี้กระโดดลงจากหลังม้าอย่างงดงาม สองมื้อเอื้อมไปพยุงเย่จั้น
“เสด็จอาไม่ต้องมากพิธี รีบลุกขึ้นเถิด”
เย่จั้นค่อยๆ ยืนขึ้น และมองไปยังเย่จิ่งอวี้
พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเป็นมิตร “การจากลาครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อใด ฝ่าบาทต้องดูแลให้ดี อย่าทำงานหนักจนร่างกายอ่อนล้า”
เมื่อได้ยินดังนั้น ลำคอของเย่จิ่งอวี้ก็แห้งผากเล็กน้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...