อินชิงเสวียนรู้สึกประหลาดใจที่พบว่า นางไม่เพียงสามารถเข้าชมมิติจากด้านนอกได้ แต่นางยังสามารถเก็บเกี่ยวพืชผลจากความคิดของนางได้อีกด้วย
เมื่อมองดูธัญพืชและผักผลไม้ที่จัดเรียงไว้อย่างเรียบร้อย นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น
เมื่อก่อนจะทำสิ่งใดก็ต้องเข้าไปในมิติ ซึ่งมีความยุ่งยากจริงๆ
และเมื่อเห็นสองหมื่นคะแนนที่แสดงอยู่ในระบบ อินชิงเสวียนก็ดีใจจนแทบกรี๊ดออกมา
ก่อนหน้านี้นางใช้แรงในการเล่นพิณ แต่ก็ไม่ได้รับรางวัล หากไม่ใช่เพราะเนื้อเพลง ก็ต้องเป็นเพราะความแตกต่างของพิณการเวก ครั้งนี้นับว่ามาถูกทางแล้ว
ตอนนี้นางได้เข้าใจความรู้สึกของคนรวยยุคใหม่เสียที และนางก็อยากไปที่ร้านค้าสะสมคะแนนเป็นพิเศษ เพื่อแลกเนื้อเสียบไม้ย่างมาลองชิมดู
ทักษะการกระโดดสุดขีดก็ค่อนข้างมีประโยชน์มากทีเดียว หากนางใช้ทักษะนี้ได้ตั้งนาน วันนั้นคงไม่ปล่อยให้อาซือหลานจับตัวเสี่ยวหนานเฟิงไปได้แน่
เพียงแต่... ห้าสิบห้าสิบนี่คืออะไรกัน?
ด้านล่างทักษะไม่ได้ระบุอะไรไว้อย่างละเอียด อินชิงเสวียนคิดอยู่นานก็ไม่เข้าใจความหมาย นางจึงล้มเลิกความคิดไป
ไม่นาน ขอบฟ้าก็ขาวสว่างขึ้นราวกับท้องปลา
เสี่ยวหนานเฟิงพลิกตัว ดวงตาดำแป๋วลูกโตก็เบิกกว้างขึ้น
เมื่อเห็นอินชิงเสวียน ดวงตาสีดำเข้มราวกับหินภูเขาไฟก็โค้งขึ้นในทันที จากนั้นก็ร้องขึ้นเสียงเล็กเสียงน้อย “เหนียงเหนียง~”
อินชิงเสวียนรีบอุ้มลูกขึ้นมาทันที แต่หลังจากที่ไม่ได้เจอกันเพียงหนึ่งวัน ดูเหมือนว่าเจ้าลูกตัวน้อยจะหนักขึ้นอีกแล้ว
“คิดถึงแม่ใช่ไหม?”
อินชิงเสวียนจูบลงบนแก้มอวบอ้วนของเสี่ยวหนานเฟิงหนึ่งที
เสี่ยวหนานเฟิงตอบไม่เป็น จึงทำปากจู๋และหอมลงบนใบหน้าของนาง
ปากเล็กที่เปียกชื้นประทับลงบนใบหน้าของนาง ความอ่อนโยนในใจของอินชิงเสวียนถูกสัมผัสในทันที และนางก็อดไม่ได้ที่จะกอดเขาให้แน่นขึ้น นางรู้สึกขอบคุณเจ้าของร่างเดิมจริงๆ ที่ช่วยให้นางได้กำเนิดลูกที่น่ารักเช่นนี้
“ขอบใจลูกรัก”
อินชิงเสวียนจี้ลำคอที่บอบบางและอ่อนโยนของเสี่ยวหนานเฟิง
เสี่ยวหนานเฟิงหัวเราะร่าขึ้นมาในทันที
อินชิงเสวียนกลัวลูกน้อยจะรบกวนคนประหลาดคนนั้น จึงเหลือบมองไปยังด้านมอง เมื่อเห็นว่าเขายังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ก็วางใจลง
ผ่านไปไม่นาน พระอาทิตย์ก็ส่องแสงจ้า
อินชิงเสวียนวางเสี่ยวหนานเฟิงลงบนเบาะนั่ง และหยิบขวดนมใหม่ออกมาจากในมิติ และชงนมผงให้กับเสี่ยวหนานเฟิง
ชายผมขาวเดินเข้ามาจากด้านนอก เมื่อเห็นขวดนม สายตาของเขาก็แสดงท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้ถามอะไรมาก
เสี่ยวหนานเฟิงถือขวดนมพร้อมกับกินนมอยู่ เมื่อเห็นชายผมขาวเข้ามา ก็ยื่นมือเล็กๆ ชี้ไปที่เขาในทันที ปากเล็กก็พูดจาอ้อแอ้
เมื่อมองเสี่ยวหนานเฟิง แววตาของชายผมขาวก็อ่อนโยนลงมาก จากนั้นก็มองไปที่อินชิงเสวียน
สายตาดุดันขึ้นมาในทันที
“เจ้ามีเวลาเพียงเจ็ดวันเท่านั้น จะต้องเรียนสองเพลงนี้ให้ได้”
อินชิงเสวียนน้อมตัวลงอย่างอึดอัด
“ผู้เยาว์จะพยายามให้มากที่สุด ผู้อาวุโสจะช่วยทิ้งหนังสือเพลงให้ผู้เยาว์ได้หรือไม่ เพื่อที่จะสะดวกในการฝึกฝน”
“ไม่มีหนังสือ บทเพลงทั้งสองจำเป็นต้องใช้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเท่านั้น แม้แต่ตัวข้าเองก็เข้าใจเพียงเจ็ดในสิบส่วน หากเจ้าสามารถเข้าใจได้เพียงครึ่งหนึ่ง ข้าก็จะวางใจได้มากทีเดียว”
รูปร่างลักษณะของชายผมขาวไม่น่าจะเกินยี่สิบกว่าปี แต่กลับเรียกแทนตัวเองว่าข้าผู้อาวุโส อินชิงเสวียนอยากถามเป็นอย่างมากว่าเขาอายุเท่าไหร่กันแน่ แต่เมื่อนึกถึงนิสัยที่แสนเย็นชาของเขา จึงทำได้เพียงแค่เก็บเอาไว้
“เช่นนี้นี่เอง ผู้เยาว์จะทำความเข้าใจให้ดี”
“อืม”
ชายผมขาวเอื้อมมือไปอุ้มเสี่ยวหนานเฟิง
“ข้าจะมอบเวลานี้ให้แก่เจ้า”
เสี่ยวหนานเฟิงเกาะบนไหล่ของชายผมขาวอย่างว่าง่าย ตอนที่เดินออกนอกประตูยังโบกมือน้อยๆ ให้กับอินชิงเสวียน ท่าทางช่างน่ารักเสียจริง
อินชิงเสวียนเดินไปด้านหน้าหนึ่งก้าว แต่ก็หยุดลง
ช่างเถอะ อย่างไรลูกชายก็เป็นของนางไปตลอดชีวิต ไม่ต้องรีบร้อน การเรียนบรรเลงบทเพลงมีเวลาจำกัด รีบเอาเวลามาทำความเข้าใจดีกว่า
หากเปรียบเทียบกับหยกรัตติกาล อินชิงเสวียนชอบใจหินผามากกว่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...