“พ่ะย่ะค่ะ”
ทหารเปลวเพลิงแดงนายหนึ่งขานรับและปีนลงจากหน้าผา
ชาวเจียงวูเพียงไม่กี่คนที่รอดชีวิตเพียงถูกมัดไว้ด้วยเชือก ทหารสองสามนายคุมตัวพวกเขาไปยังเมืองหลวง ส่วนคนอื่นที่เหลือเริ่มการจัดทัพใหม่ และเคลื่อนทัพออกนอกหุบเขา
เย่จั้นเก็บดาบยาวกลับคืน และสำรวจตัวเองอย่างละเอียด ร่างกายไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ต้องเป็นเพราะอาซือหลานเจตนาพูดให้ตกใจกลัว เพื่อขู่ตัวเอง
เขาถอดชุดคลุมสีขาวที่เปื้อนเลือดออกด้วยความรังเกียจ พร้อมกับเปลี่ยนชุดตัวใหม่ เมื่อเหยียบโกลนม้าก็พลิกตัวขึ้นหลังม้า
“ไป!”
ทันทีที่เสียงตะโกนดังขึ้น ม้าพันธุ์ดีก็ควบฝีเท้าตะบึงอย่างบ้าระห่ำ เพื่อนำกองทัพไปทางเหนือ
ณ พระราชวัง
เย่จิ่งอวี้นั่งอยู่ที่ห้องหนังสือ แม้จะถือสาส์นกราบทูลไว้ในมือ แต่จิตใจกลับไม่สามารถสงบนิ่งได้
แม้ไทเฮาจะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่ยังกำจัดเย่จิ่งเย่าไม่ได้ นี่คือเหตุผลแรก
สงครามที่เจียงวูก็ตึงเครียดมากเช่นกัน เย่จิ่งอวี้ไม่รู้ว่าพวกเขาจะอดทนได้หรือไม่ เพื่อรอให้ดินปืนส่งถึงด่านถงกู่ นี่คือเหตุผลที่สอง
เหตุผลที่สามคือเมืองซุ่ยหาน ตอนนี้แม่ทัพของเป่ยมู่ต๋ารู้แล้วว่าเย่จั้นไม่ได้อยู่ที่เมือง เขาจะต้องรีบใช้โอกาสนี้ในการโจมตีเมืองอย่างแน่นอน
และสิ่งที่เขาเป็นห่วงมากที่สุด ก็ยังคงเป็นอินชิงเสวียน
ไม่รู้ว่านางอยู่ทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง คนประหลาดจะทำอะไรนางหรือไม่?
เย่จิ่งอวี้ยิ่งคิดก็ยิ่งว้าวุ่นใจ จึงสาส์นกราบทูลลง และเดินออกมาจากโต๊ะหนังสือ
ในระหว่างที่กำลังขมวดคิ้วและใช้ความคิด หลี่เต๋อฝูก็วิ่งเข้ามา
เขาเหลือบมองสีหน้าของเย่จิ่งอวี้ด้วยความระวัง และก้มหน้าพูดว่า “ฝ่าบาท หาตัวผู้ที่วางยาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็นข้าหลวงหญิงคนหนึ่งในหอสุ่ยอวิ้น นางไม่พอใจที่พระสนมสวีลงโทษนาง จึงเก็บแค้นไว้ในใจมาโดยตลอด เมื่อรู้ว่าต้นยี่โถมีพิษ จึงแอบเก็บมาบดเป็นผงและใส่ลงไปในโจ๊ก”
เย่จิ่งอวี้พูดขึ้นเสียงเรียบ “ในเมื่อหาตัวเจอแล้ว ก็ให้พระสนมสวีเป็นผู้ลงโทษด้วยตัวเองเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปรายงานเดี๋ยวนี้”
เมื่อหลี่เต๋อฝูออกไปแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็เดินมาที่ข้างหน้าต่าง เขามองดอกไม้ใบหน้าด้านนอก คิ้วคมก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย
เรื่องสำคัญยังคิดไม่ออก เขาจะมีอารมณ์ที่ไหนไปคิดเรื่องไร้สาระในวังหลัง
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ไม่ว่าจะได้พบอินชิงเสวียนหรือไม่ คืนนี้ก็ต้องออกจากวังไปดูให้ได้
ในระหว่างที่กำลังครุ่นคิด จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก
“หม่อมฉันขอถวายบังคมฝ่าบาท”
สวีจือย่วนถูกหานปิงพยุงเดินเข้ามา คุกเข่าลงบนพื้นด้วยความอ่อนแรง
เย่จิ่งอวี้กวาดสายตามอง เมื่อเห็นสวีจือย่วนสีหน้าขาวซีด และร่างกายที่ดูอ่อนแอเป็นอย่างมาก
เขาถามขึ้นเสียงเรียบว่า “ร่างกายของเจ้ายังไม่ดีมากนัก ควรรักษาร่างกายให้ดีก่อน มีเรื่องอะไรให้ส่งคนมาบอกข้าก็พอ”
สวีจือย่วนหมอบคลานลงบนพื้น พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทิ้ม “หม่อมฉันขอร้องให้ฝ่าบาทโปรดเมตตา และปล่อยเหมยเอ๋อร์ไป หม่อมฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก จึงไม่คิดที่จะติดใจเอาความ และไม่อยากทำร้ายชีวิตของผู้ที่ไร้เดียงสา เหมยเอ๋อร์ยังเด็กมากนัก นางเพียงบุ่มบ่ามไปชั่วขณะเท่านั้น หม่อมฉันเชื่อว่านางไม่มีเจตนาจะทำร้ายหม่อมฉันเพคะ”
เย่จิ่งอวี้มองนางและถามว่า “เหมยเอ๋อร์ที่เจ้าว่า คือข้าหลวงหญิงที่วางยาเจ้าใช่หรือไม่?”
สวีจือย่วนพูดขึ้นด้วยความเคารพ “เพคะ นางถูกขายเข้ามาในวัง ชีวิตน่าเวทนา นางไม่รู้ว่าพ่อแม่ของตัวเองเป็นใครด้วยซ้ำ หม่อมฉันเห็นนางก็รู้สึกสงสารอย่างแท้จริง ขอฝ่าบาทอย่าได้ติดใจเอาความเลยเพคะ”
เย่จิ่งอวี้เหลือบมองนางครู่หนึ่งและถามว่า “นี่เป็นความต้องการที่แท้จริงของตัวเจ้าใช่หรือไม่?”
สวีจือย่วนโค้งคำนับและพูดว่า “เป็นความต้องการของหม่อมฉันจริงเพคะ หม่อมฉันไม่อยากก่อกรรมทำบาป ถือว่าเป็นการเพิ่มบุญกุศลให้แก่ต้าโจวของเรา”
เย่จิ่งอวี้พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ “ในเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นในตำหนักของเจ้า เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถอะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...