เย่จิ่งอวี้ฮึมฮัมในลำคอเบาๆ
“คราวนี้ดูแลเฉพาะดอกไม้ใบหญ้าเสียแล้ว ปากของเจ้าจะพูดความจริงบ้างได้หรือไม่”
อินชิงเสวียนรีบเอ่ยขึ้น “เรื่องที่กระหม่อมเป็นขันที เป็นเรื่องสัตย์จริงแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งอวี้พูดเสียงเนิบ “ถ้าเช่นนั้นก็เลิกยืดยาดได้แล้ว”
อินชิงเสวียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถอดอาภรณ์ของเขาออกทีละชิ้น แต่นิ้วเจ้ากรรมก็ดันไปแตะต้องกับผิวกายของเย่จิ่งอวี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งรู้สึกได้ว่าผิวนั้นแน่นและเรียบเนียน โดยเฉพาะแนวท่อนแขนอันเรียบเนียน ให้ความรู้สึกถึงความแข็งแกร่งในอัตลักษ์ของความเป็นของบุรุษเพศ
อินชิงเสวียนหายใจเร็วอย่างอธิบายไม่ได้ ใบหน้างามพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงเถือก
เย่จิ่งอวี้ก้มหน้าพิจารณาดูนาง
แต่งงานมีลูกแล้วแท้ๆ ยังจะเขินอายอะไรเช่นนี้
แต่หารู้ไม่ว่าอินชิงเสวียนนั้นไม่เคยแม้แต่จะคุยเรื่องความรักกับชายใดด้วยซ้ำ เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่หายใจไม่ทั่วท้องเช่นนี้ นางก็เกือบจะเป็นลมอยู่แล้ว แล้วจึงรีบอุ้มเสื้อคลุมไปแขวนไว้ข้างๆ
ปากก็พึมพำเงียบๆ “ฝ่าบาท พระองค์คงไม่ต้องให้กระหม่อมถอดกางเกงให้ด้วยกระมัง”
เสียงแผ่วเบาของเย่จิ่งอวี้ดังมาจากด้านหลัง
“ต้องให้เจ้าช่วยอยู่แล้ว”
“หา”
แล้วเส้นผมของอินชิงเสวียนก็ลุกชันขึ้นทันที
“คงไม่ดีกระมัง ฝ่าบาทก็ควรออกกำลังกายด้วย เช่นนี้ถึงจะดีต่อพระวรกาย”
“การออกกำลังกายของเราเกี่ยวอะไรกับการถอดกางเกง”
เสียงเจือแววสัพยอกของเย่จิ่งอวี้ดังมาจากด้านหลัง
ทันใดนั้น อินชิงเสวียนก็นึกถึงคำพูดที่ว่า ‘เอวแข็งแรง ไตแข็งแรง นางก็จะดีใจ’
จึงกล่าวว่า “การก้มตัวสามารถออกกำลังกายกล้ามเนื้อหน้าท้อง ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเอวและหน้าท้องได้ หากเอวของฝ่าบาทแข็งแรง ย่อมเป็นผลดีต่อเหล่าพระสนมที่อยู่ในวังหลังพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ารู้ไม่น้อยเลย”
เย่จิ่งอวี้ก้าวเท้ายาวๆ เดินลงไปในสระน้ำ
อุณหภูมิน้ำที่เย็นเล็กน้อยทำให้รู้สึกสดชื่น
แล้วจึงได้ยินอินชิงเสวียนพูดขึ้นว่า “กระหม่อมเคยแต่งงานแล้ว ย่อมรู้เรื่องเป็นธรรมดา”
เย่จิ่งอวี้หรี่ตาแล้วถามว่า “เจ้าเข้าวัง ภรรยาของเจ้าไม่เสียใจหรอกรึ”
อินชิงเสวียนแสร้งทำเป็นทอดถอนใจอย่างช่วยไม่ได้
“ถึงเสียใจแต่ก็จนปัญญา ที่ทำทั้งหมดก็เพื่อมีชีวิตรอด”
“ผู้ใดบ้างที่ไม่ดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอดล่ะ”
เสียงของเย่จิ่งอวี้ดังขึ้นในสระน้ำที่ว่างเปล่า ในกระแสเสียงนั้นเจือความสะท้อนใจและความเศร้าโศกที่อธิบายไม่ได้
อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับไป แล้วจึงพบว่าเย่จิ่งอวี้เดินลงไปในสระน้ำแล้ว
จิตใจพลันผ่อนคลายลงทันที
โชคดีที่เขาไม่ให้ตัวเองถอดกางเกงให้เขาด้วย
“ฝ่าบาทมิจำเป็นต้องขวนขวาย เพราะใต้หล้าล้วนเป็นของพระองค์อยู่แล้ว”
อินชิงเสวียนกล่าวเสียงประจบ
“แต่เรากลับล้มเหลวในการดูแลแผ่นดิน บัดนี้ภัยแล้งยังไม่ได้รับการแก้ไข และโรคระบาดได้ปะทุขึ้น ผู้คนต่างตกอยู่ภายใต้ความคับแค้นใจอย่างยิ่ง เราก็ยากจะหนีความผิดนั้นได้”
อินชิงเสวียนแขวนชุดคลุมมังกรของเขาเสร็จ จึงเดินเข้าไปแล้วพูดว่า “โรคระบาดไม่ได้น่ากลัว ตราบใดที่พบวิธีที่เหมาะสมในการจัดการ ก็จะสามารถควบคุมไว้ได้”
“เอ๋”
เย่จิ่งอวี้เลิกคิ้ว โรคระบาดแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว แม้แต่หมอหลวงก็ยังจนปัญญา บ่าวตัวน้อยผู้นี้กลับคุยโวโอ้อวดอย่างไม่รู้สึกกระดากอาย
“หรือเจ้ามีวิธีรับมือเช่นนั้นรึ”
อินชิงเสวียนพยักหน้า ปู่ทวดของนางมีตำราโบราณเกี่ยวกับการรักษาโรคยากๆ และซับซ้อน ตอนเด็กๆ อินชิงเสวียนมักจะเปิดอ่านอยู่บ่อยๆ แทบเรียกได้ว่าสามารถท่องจำได้ขึ้นใจ
ครั้นจึงกล่าวว่า “โรคระบาดเกิดขึ้นเพราะอากาศร้อนเกินไป ศพของผู้ลี้ภัยเน่าเปื่อย หลังจากเสียชีวิตจึงทำให้เกิดเชื้อโรค หากต้องการหยุดโรคระบาด จึงต้องเผาศพผู้เสียชีวิต นอกจากนี้ต้องแยกตัวผู้ที่ติดโรคระบาดออกไป กระหม่อมไร้สามารถ เคยได้ยินมาว่ามียาชนิดหนึ่งสามารถรักษาโรคระบาดได้ ต้องใช้หญ้างูไหมดำ หญ้ารากแดง และสมุนไพรที่มีแก่นสีเขียวอ่อนชนิดต่างๆ นำมาต้มเป็นยา สามารถใช้บรรเทาโรคภัยได้”
เย่จิ่งอวี้เบิกตากว้าง เอ่ยถามขึ้นทันที “วิธีนี้สามารถรักษาโรคระบาดได้จริงหรือ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...