“ข้ามาตามหาภรรยา ไม่ทราบว่าน้องชายพอจะผ่อนปรน ยอมให้ข้าพบนางได้หรือไม่”
เย่จิ่งอวี้ประกบมือคำนับ ทุกท่วงท่าอากัปกิริยาคงไว้ซึ่งความสูงศักดิ์
“ภรรยาของท่าน? ภรรยาของท่านคือผู้อาวุโสไม่ใช่รึ แต่สตรีข้างในไม่ใช่ผู้อาวุโส ท่านจำผิดคนกระมัง”
ต่งจื่ออวี๋มองไปยังเย่จิ่งอวี้ด้วยสีหน้างุนงง
เย่จิ่งอวี้คลี่ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “นางเป็นภรรยาของข้า ที่นางได้พบเจ้าก่อนหน้านี้ เป็นใบหน้าตอนที่นางแปลงโฉม”
“แปลงโฉม?”
ต่งจื่ออวี๋หันกลับไปมอง แล้วถามว่า “อาจารย์อา มีคนต้องการพบผู้อา...เอ่อ สตรีผู้นั้น”
เขากำลังจะเรียกว่าผู้อาวุโส แต่รู้สึกว่าไม่ดีที่จะเรียกหญิงสาวแบบนั้นต่อหน้าอาจารย์อา เขาจึงเปลี่ยนคำเรียก
“ภายในเจ็ดวันนี้ นางจะไม่พบผู้ใดทั้งสิ้น”
กระแสเสียงอันเยือกเย็นประดุจน้ำแข็งดังมาจากในห้อง เย่จิ่งอวี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ผู้อาวุโส...”
“กลับไปเถอะ”
พลังอันอ่อนนุ่มชนิดหนึ่งพุ่งออกมาจากในเรือน ผลักเย่จิ่งอวี้ให้ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
อินชิงเสวียนก็ได้ยินเสียงของเย่จิ่งอวี้แล้ว นางลังเลก่อนจะพูดว่า “ผู้อาวุโสโปรดอำนวยความสะดวกด้วย ให้ข้าได้คุยกับเขาสักสองสามคำ ถ้าเขายังคงมาอยู่ตลอดเช่นนี้ ข้าก็สงบใจได้ยาก”
ชายผมขาวพูดเบาๆ “คำว่ารัก เป็นคำที่ทำให้มนุษย์ลุ่มหลงงมงายที่สุด ข้าหวังว่าเจ้าจะมีสมาธิกับการเรียนดนตรีสองบทเพลงนี้ที่นี่”
อินชิงเสวียนถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “แม้ว่าเขาจะเป็นฮ่องเต้ แต่เขาก็เป็นสามีของข้าด้วย ระหว่างพวกเราก็มีลูกแล้วด้วย หาใช่ความรักเฉกเช่นหนุ่มสาววัยแรกแย้มไม่ และเราไม่ได้รักกันอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น อารมณ์ของบทเพลงก็เกิดจากความรัก หากไร้ซึ่งความรัก แล้วจะบรรเลงให้ดีได้อย่างไร”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ชายผมขาวก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง
เขาไม่เคยเห็นใครเข้าใจบทเพลงได้ดีขนาดนี้ หรือว่านี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่เข้าใจสองเพลงนี้?
เมื่อเห็นว่าชายผมขาวเงียบไป อินชิงเสวียนก็ค้อมกายพูดว่า “ผู้เยาว์ขอพูดอะไรกับเขาแค่ไม่กี่คำ ใช้เวลาไม่นานนัก ผู้อาวุโสช่วยผ่อนปรนให้ด้วยเจ้าค่ะ”
“ก็ได้ ข้าให้เวลาเจ้าเพียงสิบห้านาทีเท่านั้น”
ชายผมขาวพูดจบก็ออกไป
อินชิงเสวียนหายใจเข้าลึกๆ แล้วอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงไปที่ประตู
ต่งจื่ออวี๋ยังคงยืนอยู่ที่ประตู เมื่อเห็นว่าใบหน้านี้งดงามหยาดเยิ้มยิ่งกว่าครั้งก่อน เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านคือผู้อาวุโสผู้นั้นจริงๆ หรือ”
อินชิงเสวียนกระซิบ “เรื่องน้ำนั่น เจ้าอย่าเพิ่งบอกอาจารย์อาของเจ้านะ เมื่อมีเวลา ข้าจะเติมให้เจ้าอีกถุง”
ต่งจื่ออวี๋ดูมีความสุขทันที
“ท่านเป็นผู้อาวุโสจริงๆ!”
อินชิงเสวียนพยักหน้า แล้วเปิดประตูออกไป
ภายใต้แสงจันทร์สลัว ร่างกายของเย่จิ่งอวี้เปรียบเสมือนต้นหยก ดวงตาสงบราบเรียบราวกับทะเลสาบที่กำลังมองนางโดยไม่ละสายตา
สายลมยามราตรีพัดชายเสื้อของเขาให้พลิ้วไหวประหนึ่งเสื้อผ้ากำลังเริงระบำ แสงจันทร์ทอดยาวไปตามร่างของเขา ทำให้เกิดความรู้สึกอ้างว้างเหลือประมาณ
สายตาที่จ้องมองมาอ่อนโยนราวกับหยก ราวกับว่าเขากำลังสลักรูปลักษณ์ของนางอย่างประณีต
“เสวียนเอ๋อร์...”
เย่จิ่งอวี้แย้มริมฝีปากบางเบาๆ แต่ครู่หนึ่งเขากลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ในฐานะกษัตริย์ที่ควบคุมดูแลทั้งใต้หล้า กลับปล่อยให้ภรรยาและลูกติดอยู่ในห้องเล็กๆ นี้ ช่างเป็นความล้มเหลวที่สุดจริงๆ
อินชิงเสวียนรู้ว่าเย่จิ่งอวี้เป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีมาก นางสามารถเห็นความรู้สึกละอายใจและความคิดได้จากสายตาของเขา
นางคลี่ยิ้มละไมพูดว่า “เพิ่งผ่านไปวันเดียวเอง ฝ่าบาทก็รีบมาอีกแล้ว จะให้คนมีใจจดจ่ออยู่กับการเรียนดนตรีได้อย่างไร”
เสี่ยวหนานเฟิงจำเย่จิ่งอวี้ได้ เขายื่นมือเล็กๆ ออกมาทันที ตะโกนด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว “เด็จพ่อ~”
เย่จิ่งอวี้อุ้มลูกชายของเขา ลูบใบหน้าเล็กจ้อยที่เรียบเนียนของเขาเบาๆ แล้วหันไปหาอินชิงเสวียน
“วันนี้เจ้าสองคนแม่ลูกเป็นอย่างไรบ้าง”
อินชิงเสวียนยักไหล่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...