สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 371

“ข้ามาตามหาภรรยา ไม่ทราบว่าน้องชายพอจะผ่อนปรน ยอมให้ข้าพบนางได้หรือไม่”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ประกบมือคำนับ ทุกท่วงท่าอากัปกิริยาคงไว้ซึ่งความสูงศักดิ์

“ภรรยาของท่าน? ภรรยาของท่านคือผู้อาวุโสไม่ใช่รึ แต่สตรีข้างในไม่ใช่ผู้อาวุโส ท่านจำผิดคนกระมัง”

ต่งจื่ออวี๋มองไปยังเย่‍จิ่ง‍อวี้ด้วยสีหน้างุนงง

เย่‍จิ่ง‍อวี้คลี่ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “นางเป็นภรรยาของข้า ที่นางได้พบเจ้าก่อนหน้านี้ เป็นใบหน้าตอนที่นางแปลงโฉม”

“แปลงโฉม?”

ต่งจื่ออวี๋หันกลับไปมอง แล้วถามว่า “อาจารย์อา มีคนต้องการพบผู้อา...เอ่อ สตรีผู้นั้น”

เขากำลังจะเรียกว่าผู้อาวุโส แต่รู้สึกว่าไม่ดีที่จะเรียกหญิงสาวแบบนั้นต่อหน้าอาจารย์อา เขาจึงเปลี่ยนคำเรียก

“ภายในเจ็ดวันนี้ นางจะไม่พบผู้ใดทั้งสิ้น”

กระแสเสียงอันเยือกเย็นประดุจน้ำแข็งดังมาจากในห้อง เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ผู้อาวุโส...”

“กลับไปเถอะ”

พลังอันอ่อนนุ่มชนิดหนึ่งพุ่งออกมาจากในเรือน ผลักเย่‍จิ่ง‍อวี้ให้ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

อินชิงเสวียนก็ได้ยินเสียงของเย่‍จิ่ง‍อวี้แล้ว นางลังเลก่อนจะพูดว่า “ผู้อาวุโสโปรดอำนวยความสะดวกด้วย ให้ข้าได้คุยกับเขาสักสองสามคำ ถ้าเขายังคงมาอยู่ตลอดเช่นนี้ ข้าก็สงบใจได้ยาก”

ชายผมขาวพูดเบาๆ “คำว่ารัก เป็นคำที่ทำให้มนุษย์ลุ่มหลงงมงายที่สุด ข้าหวังว่าเจ้าจะมีสมาธิกับการเรียนดนตรีสองบทเพลงนี้ที่นี่”

อินชิงเสวียนถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “แม้ว่าเขาจะเป็นฮ่องเต้ แต่เขาก็เป็นสามีของข้าด้วย ระหว่างพวกเราก็มีลูกแล้วด้วย หาใช่ความรักเฉกเช่นหนุ่มสาววัยแรกแย้มไม่ และเราไม่ได้รักกันอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น อารมณ์ของบทเพลงก็เกิดจากความรัก หากไร้ซึ่งความรัก แล้วจะบรรเลงให้ดีได้อย่างไร”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ชายผมขาวก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง

เขาไม่เคยเห็นใครเข้าใจบทเพลงได้ดีขนาดนี้ หรือว่านี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่เข้าใจสองเพลงนี้?

เมื่อเห็นว่าชายผมขาวเงียบไป อินชิงเสวียนก็ค้อมกายพูดว่า “ผู้เยาว์ขอพูดอะไรกับเขาแค่ไม่กี่คำ ใช้เวลาไม่นานนัก ผู้อาวุโสช่วยผ่อนปรนให้ด้วยเจ้าค่ะ”

“ก็ได้ ข้าให้เวลาเจ้าเพียงสิบห้านาทีเท่านั้น”

ชายผมขาวพูดจบก็ออกไป

อินชิงเสวียนหายใจเข้าลึกๆ แล้วอุ้มเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงไปที่ประตู

ต่งจื่ออวี๋ยังคงยืนอยู่ที่ประตู เมื่อเห็นว่าใบหน้านี้งดงามหยาดเยิ้มยิ่งกว่าครั้งก่อน เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านคือผู้อาวุโสผู้นั้นจริงๆ หรือ”

อินชิงเสวียนกระซิบ “เรื่องน้ำนั่น เจ้าอย่าเพิ่งบอกอาจารย์อาของเจ้านะ เมื่อมีเวลา ข้าจะเติมให้เจ้าอีกถุง”

ต่งจื่ออวี๋ดูมีความสุขทันที

“ท่านเป็นผู้อาวุโสจริงๆ!”

อินชิงเสวียนพยักหน้า แล้วเปิดประตูออกไป

ภายใต้แสงจันทร์สลัว ร่างกายของเย่‍จิ่ง‍อวี้เปรียบเสมือนต้นหยก ดวงตาสงบราบเรียบราวกับทะเลสาบที่กำลังมองนางโดยไม่ละสายตา

สายลมยามราตรีพัดชายเสื้อของเขาให้พลิ้วไหวประหนึ่งเสื้อผ้ากำลังเริงระบำ แสงจันทร์ทอดยาวไปตามร่างของเขา ทำให้เกิดความรู้สึกอ้างว้างเหลือประมาณ

สายตาที่จ้องมองมาอ่อนโยนราวกับหยก ราวกับว่าเขากำลังสลักรูปลักษณ์ของนางอย่างประณีต

“เสวียน‍เอ๋อร์...”

เย่‍จิ่ง‍อวี้แย้มริมฝีปากบางเบาๆ แต่ครู่หนึ่งเขากลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

ในฐานะกษัตริย์ที่ควบคุมดูแลทั้งใต้หล้า กลับปล่อยให้ภรรยาและลูกติดอยู่ในห้องเล็กๆ นี้ ช่างเป็นความล้มเหลวที่สุดจริงๆ

อินชิงเสวียนรู้ว่าเย่‍จิ่ง‍อวี้เป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีมาก นางสามารถเห็นความรู้สึกละอายใจและความคิดได้จากสายตาของเขา

นางคลี่ยิ้มละไมพูดว่า “เพิ่งผ่านไปวันเดียวเอง ฝ่าบาทก็รีบมาอีกแล้ว จะให้คนมีใจจดจ่ออยู่กับการเรียนดนตรีได้อย่างไร”

เสี่ยว‍หนาน‍เฟิงจำเย่‍จิ่ง‍อวี้ได้ เขายื่นมือเล็กๆ ออกมาทันที ตะโกนด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว “เด็จพ่อ~”

เย่‍จิ่ง‍อวี้อุ้มลูกชายของเขา ลูบใบหน้าเล็กจ้อยที่เรียบเนียนของเขาเบาๆ แล้วหันไปหาอินชิงเสวียน

“วันนี้เจ้าสองคนแม่ลูกเป็นอย่างไรบ้าง”

อินชิงเสวียนยักไหล่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์