สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 371

สรุปบท บทที่ 371 พูดจาไม่สบอารมณ์: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์

ตอน บทที่ 371 พูดจาไม่สบอารมณ์ จาก สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 371 พูดจาไม่สบอารมณ์ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายโรแมนติก สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ ที่เขียนโดย GoodNovel เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

“ข้ามาตามหาภรรยา ไม่ทราบว่าน้องชายพอจะผ่อนปรน ยอมให้ข้าพบนางได้หรือไม่”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ประกบมือคำนับ ทุกท่วงท่าอากัปกิริยาคงไว้ซึ่งความสูงศักดิ์

“ภรรยาของท่าน? ภรรยาของท่านคือผู้อาวุโสไม่ใช่รึ แต่สตรีข้างในไม่ใช่ผู้อาวุโส ท่านจำผิดคนกระมัง”

ต่งจื่ออวี๋มองไปยังเย่‍จิ่ง‍อวี้ด้วยสีหน้างุนงง

เย่‍จิ่ง‍อวี้คลี่ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “นางเป็นภรรยาของข้า ที่นางได้พบเจ้าก่อนหน้านี้ เป็นใบหน้าตอนที่นางแปลงโฉม”

“แปลงโฉม?”

ต่งจื่ออวี๋หันกลับไปมอง แล้วถามว่า “อาจารย์อา มีคนต้องการพบผู้อา...เอ่อ สตรีผู้นั้น”

เขากำลังจะเรียกว่าผู้อาวุโส แต่รู้สึกว่าไม่ดีที่จะเรียกหญิงสาวแบบนั้นต่อหน้าอาจารย์อา เขาจึงเปลี่ยนคำเรียก

“ภายในเจ็ดวันนี้ นางจะไม่พบผู้ใดทั้งสิ้น”

กระแสเสียงอันเยือกเย็นประดุจน้ำแข็งดังมาจากในห้อง เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ผู้อาวุโส...”

“กลับไปเถอะ”

พลังอันอ่อนนุ่มชนิดหนึ่งพุ่งออกมาจากในเรือน ผลักเย่‍จิ่ง‍อวี้ให้ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

อินชิงเสวียนก็ได้ยินเสียงของเย่‍จิ่ง‍อวี้แล้ว นางลังเลก่อนจะพูดว่า “ผู้อาวุโสโปรดอำนวยความสะดวกด้วย ให้ข้าได้คุยกับเขาสักสองสามคำ ถ้าเขายังคงมาอยู่ตลอดเช่นนี้ ข้าก็สงบใจได้ยาก”

ชายผมขาวพูดเบาๆ “คำว่ารัก เป็นคำที่ทำให้มนุษย์ลุ่มหลงงมงายที่สุด ข้าหวังว่าเจ้าจะมีสมาธิกับการเรียนดนตรีสองบทเพลงนี้ที่นี่”

อินชิงเสวียนถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “แม้ว่าเขาจะเป็นฮ่องเต้ แต่เขาก็เป็นสามีของข้าด้วย ระหว่างพวกเราก็มีลูกแล้วด้วย หาใช่ความรักเฉกเช่นหนุ่มสาววัยแรกแย้มไม่ และเราไม่ได้รักกันอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น อารมณ์ของบทเพลงก็เกิดจากความรัก หากไร้ซึ่งความรัก แล้วจะบรรเลงให้ดีได้อย่างไร”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ชายผมขาวก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง

เขาไม่เคยเห็นใครเข้าใจบทเพลงได้ดีขนาดนี้ หรือว่านี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่เข้าใจสองเพลงนี้?

เมื่อเห็นว่าชายผมขาวเงียบไป อินชิงเสวียนก็ค้อมกายพูดว่า “ผู้เยาว์ขอพูดอะไรกับเขาแค่ไม่กี่คำ ใช้เวลาไม่นานนัก ผู้อาวุโสช่วยผ่อนปรนให้ด้วยเจ้าค่ะ”

“ก็ได้ ข้าให้เวลาเจ้าเพียงสิบห้านาทีเท่านั้น”

ชายผมขาวพูดจบก็ออกไป

อินชิงเสวียนหายใจเข้าลึกๆ แล้วอุ้มเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงไปที่ประตู

ต่งจื่ออวี๋ยังคงยืนอยู่ที่ประตู เมื่อเห็นว่าใบหน้านี้งดงามหยาดเยิ้มยิ่งกว่าครั้งก่อน เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านคือผู้อาวุโสผู้นั้นจริงๆ หรือ”

อินชิงเสวียนกระซิบ “เรื่องน้ำนั่น เจ้าอย่าเพิ่งบอกอาจารย์อาของเจ้านะ เมื่อมีเวลา ข้าจะเติมให้เจ้าอีกถุง”

ต่งจื่ออวี๋ดูมีความสุขทันที

“ท่านเป็นผู้อาวุโสจริงๆ!”

อินชิงเสวียนพยักหน้า แล้วเปิดประตูออกไป

ภายใต้แสงจันทร์สลัว ร่างกายของเย่‍จิ่ง‍อวี้เปรียบเสมือนต้นหยก ดวงตาสงบราบเรียบราวกับทะเลสาบที่กำลังมองนางโดยไม่ละสายตา

สายลมยามราตรีพัดชายเสื้อของเขาให้พลิ้วไหวประหนึ่งเสื้อผ้ากำลังเริงระบำ แสงจันทร์ทอดยาวไปตามร่างของเขา ทำให้เกิดความรู้สึกอ้างว้างเหลือประมาณ

สายตาที่จ้องมองมาอ่อนโยนราวกับหยก ราวกับว่าเขากำลังสลักรูปลักษณ์ของนางอย่างประณีต

“เสวียน‍เอ๋อร์...”

เย่‍จิ่ง‍อวี้แย้มริมฝีปากบางเบาๆ แต่ครู่หนึ่งเขากลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

ในฐานะกษัตริย์ที่ควบคุมดูแลทั้งใต้หล้า กลับปล่อยให้ภรรยาและลูกติดอยู่ในห้องเล็กๆ นี้ ช่างเป็นความล้มเหลวที่สุดจริงๆ

อินชิงเสวียนรู้ว่าเย่‍จิ่ง‍อวี้เป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีมาก นางสามารถเห็นความรู้สึกละอายใจและความคิดได้จากสายตาของเขา

นางคลี่ยิ้มละไมพูดว่า “เพิ่งผ่านไปวันเดียวเอง ฝ่าบาทก็รีบมาอีกแล้ว จะให้คนมีใจจดจ่ออยู่กับการเรียนดนตรีได้อย่างไร”

เสี่ยว‍หนาน‍เฟิงจำเย่‍จิ่ง‍อวี้ได้ เขายื่นมือเล็กๆ ออกมาทันที ตะโกนด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว “เด็จพ่อ~”

เย่‍จิ่ง‍อวี้อุ้มลูกชายของเขา ลูบใบหน้าเล็กจ้อยที่เรียบเนียนของเขาเบาๆ แล้วหันไปหาอินชิงเสวียน

“วันนี้เจ้าสองคนแม่ลูกเป็นอย่างไรบ้าง”

อินชิงเสวียนยักไหล่

เย่‍จิ่ง‍อวี้ก้าวไปข้างหน้า รั้งกายอินชิงเสวียนไว้

“ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อเจ้า ข้าแค่รู้สึกไม่สบายใจ”

อินชิงเสวียนพูดด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบ “มีสตรีมากมายที่ชอบฝ่าบาท หม่อมฉันก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นเดียวกัน แต่ก็ต้องอดทนไว้ อาซือหลานจะชอบใครก็เป็นเรื่องของเขา ถ้าหม่อมฉันมีความรู้สึกต่อเขา ไยต้องกลับวังไปหาฝ่าบาทด้วยในเมื่อฝ่าบาทมาถามถึงที่นี่ ก็พิสูจน์ได้ว่าท่านเชื่อคำพูดของผู้อื่น เช่นนั้นหม่อมฉันกับฝ่าบาทก็ไม่มีสิ่งใดต้องพูดกันอีก ตอนนี้ก็ค่ำมืดมากแล้ว เชิญฝ่าบาทเสด็จกลับเถอะ”

การตายของอา‍ซือ‍หลาน ทำให้อินชิงเสวียนหงุดหงิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนพูดออกไปจึงไม่เหลือที่ว่างให้เขาพูดแทรก

การใช้ตัวอา‍ซือ‍หลานแลกตัวกับอินสิงอวิ๋นนั้น เป็นวิธีที่สะดวกสบายที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนนี้คนตายแล้ว อินจ้งต้องไปเจียงวูอย่างแน่นอน อินชิงเสวียนสงสารที่เขาอายุจนปูนนี้แล้ว นางไม่อยากให้เขาเดินทางไกลอีก เพราะเกรงว่าเขาจะไม่ไหว

อีกอย่างนางก็ไม่พอใจมากจริงๆ ทั้งสองคนผ่านเรื่องราวต่างๆ มาด้วยกันมากมาย หากไม่มีความเชื่อใจแม้แต่น้อยนี้ อยู่ด้วยกันก็คงไม่มีประโยชน์

“เสวียน‍เอ๋อร์!”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ไล่ตามไป

อินชิงเสวียนได้ผลักเปิดประตูและเข้าไปในเรือนแล้ว เย่‍จิ่ง‍อวี้ต้องการที่จะเดินหน้าตามไป แค่กลับถูกพลังที่มองไม่เห็นขัดขวางเอาไว้

ด้วยความรู้สึกกรุ่นโกรธในใจ เขารวบนิ้วเข้าหากัน แล้วค่อยๆ ปล่อยออก

เขารู้ว่าตัวเองไม่ควรถามคำถามเช่นนี้ แต่เขาไม่ใช่นักบุญ จะไม่ให้เขาคิดมากได้อย่างไรเมื่อรู้ว่าสตรีที่เขารักเคยติดต่อกับคนโฉดชั่ว

ที่เขามาที่นี่ไม่ใช่เพราะต้องการมาเค้นถามใดๆ ขอเพียงอินชิงเสวียนให้คำมั่นสัญญาก็เพียงพอแล้ว

แต่นางกลับถามเขาเรื่องฆ่าอา‍ซือ‍หลาน ซ้ำยังบอกว่าเขากินยาผิด!

บางทีวันนี้เขาไม่ควรจะมาที่นี่

เย่‍จิ่ง‍อวี้อยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว จึงใช้วิชาตัวเบาทะยานมุ่งหน้าตรงไปยังวังหลวง

มีร่างหนึ่งกลับมาที่ตำหนักเฉิงเทียนพร้อมกับเขา ร่างนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากองครักษ์เงาเจวี๋ยอิ่ง

“ฝ่าบาท...”

เขายังพูดไม่จบ เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็ยกมือขึ้นหยุดเขา

เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก ไปจัดการสิ่งที่เจ้าต้องทำ ข้าไม่ต้องการให้เย่จิ่งเย่าเห็นดวงตะวันนอกเมืองอีก!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์