สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 378

ณ จวนอันผิงอ๋อง

เย่‍จิ่ง‍อวี้แต่งกายด้วยชุดสีธรรมดา ลงจากหลังม้าที่หน้าประตู

มีเสียงร้องไห้แผ่วเบาอยู่ข้างใน

องครักษ์ที่เฝ้าประตูรีบโค้งคำนับ แต่เย่‍จิ่ง‍อวี้ได้ถือเสื้อคลุมเดินเข้าไปแล้ว

โคมสีขาวถูกแขวนในจวน โลงศพไม้แดงในห้องโถงใหญ่วางเด่นสะดุดตาอย่างยิ่ง

เจียงซิ่วหนิงแต่งกายด้วยชุดไว้ทุกข์ คุกเข่าร้องไห้ข้างโลงศพอย่างเงียบๆ

ที่นางร้องไห้ไม่ใช่เพราะเย่จิ่งเย่า หากแต่ร้องไห้ให้กับอนาคตของตัวเอง

บิดาของนางไปปราบศัตรูที่เจียงวู บัดนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ตอนนี้เย่จิ่งเย่าก็มาตายจากไป ทิ้งนางไว้ตามลำพัง นางจะไปที่ใดและอยู่อย่างไร

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เจียงซิ่วหนิงก็เงยหน้าขึ้น แล้วรีบโค้งคำนับ “หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้พูดอย่างอบอุ่น “ไม่ต้องแล้ว ลุกขึ้นเถิด”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

เจียงซิ่วหนิงค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นยืน ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรขึ้น น้ำตาก็ไหลพราก

เมื่อมองดูใบหน้าซีดเซียวนั้น เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็ทนสงสารไม่ได้

สตรีถูกตกเป็นเหยื่อของการแย่งชิงอำนาจมาโดยตลอด

เย่จิ่งเย่ามีความทะเยอทะยานมาก ตายไปก็สมควรแล้ว โหวเหนือก็มีเจตนาซ่อนเร้น การเดินทางในคราวนี้สามารถสั่งสอนบทเรียนให้เขาได้ มีเพียงเจียงซิ่วหนิงเท่านั้นที่เป็นผู้บริสุทธิ์ตั้งแต่ต้นจนจบ

เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้าอายุยังน้อย ที่จริงก็ไม่ควรรักษาสถานะม่าย ข้าจะเป็นคนตัดสินใจประทานใบหย่าให้แก่เจ้าเจ้า นับจากนี้ไป เจ้าจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับอันผิงอ๋องอีก ไม่ว่าจะแต่งงานใหม่หรือไว้ทุกข์ ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าเอง”

เจียงซิ่วหนิงตกใจเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าทั้งน้ำตา

หลี่เต๋อฝูกระซิบอยู่ข้างๆ “รีบขอบพระทัยเร็วเข้า”

เมื่อนั้นเจียงซิ่วหนิงจึงรู้สึกตัว นางคุกเขาลงบนพื้นด้วยความจริงใจ

“หม่อมฉันขอขอบพระทัยในความกรุณาของพระองค์”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ยื่นมือออกไปช่วยพยุงนางขึ้น แล้วพูดเบาๆ “นี่คือสิ่งเดียวที่ข้าทำเพื่อเจ้าได้ หากไม่มีที่ไป ก็พักอยู่ในจวนอันผิงอ๋องก่อนเถิด ถ้าเจอคนถูกใจก็ขายจวนนี้ได้ ถือเป็นค่าสินสอด”

เจียงซิ่วหนิงรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง จนหยาดน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง

ในตอนนี้ จู่ๆ นางก็อิจฉาอินชิงเสวียน ที่สามารถพ้นจากเย่จิ่งเย่าคนชั่วช้าคนนี้ได้ และได้พบบุรุษที่ดีมีเหตุผลเช่นนี้ได้

และตลอดชีวิตของนาง นางถูกพ่อของนางและเย่จิ่งเย่าหลอกหลายครั้ง ไม่มีโอกาสที่จะกลับตัวอีก

คนยุคโบราณให้ความสำคัญกับพรหมจรรย์มาก บุรุษจากตระกูลดีๆ ที่ไหนจะอยากได้นางอีก

แทนที่จะเป็นคนต่ำต้อย ต้องคอยมองดูสีหน้าของผู้อื่น มิสู้อยู่เป็นอิสระ หาหนแห่งการพ้นทุกข์ดีกว่า

เมื่อคิดได้ดังนี้ ดวงตาของนางก็สว่างขึ้นเล็กน้อย และทันใดนั้นนางก็พบทิศทางชีวิตของนางราวกับว่านางได้รับแสงสว่าง

นางกระแอมในลำคอที่แหบแห้งเล็กน้อย โค้งคำนับแล้วพูดว่า “ขอบพระทัยพระเมตตาของฝ่าบาท หม่อมฉันได้พบพานเรื่องทางโลกมาแล้ว จึงตั้งใจจะไปวัดสุ่ยจิ้งที่อยู่นอกเมืองเพื่อฝึกตน เพื่อถวายเป็นกุศลแด่ท่านพ่อของหม่อมฉันและต้าโจว หวังว่าฝ่าบาทจะเห็นชอบด้วย!”

“เจ้าอยากไปวัดสุ่ยจิ้งจริงรึ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่อยากให้ความสาวของสตรีคนนี้เหี่ยวเฉาไป

เจียงซิ่วหนิงพยักหน้าอย่างแรง พูดละล่ำละลักว่า “แทนที่จะมองหาความรักที่ลวงตานั้น มิสู้บวชชีตลอดชีวิตอยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ดีกว่า เพื่อแสวงหาความสงบในใจ”

เมื่อเห็นดวงตาที่แน่วแน่ของนาง เย่‍จิ่ง‍อวี้จึงไม่พูดอะไรอีก

ทุกคนมีชะตากรรมเป็นของตัวเอง เขาเป็นเพียงกษัตริย์ในโลกมนุษย์ หาใช่เทพเซียนบนสรวงสวรรค์ไม่ เขาไม่สามารถควบคุมความคิดของทุกคนได้

แม้ว่าวันนี้เจียงซิ่วหนิงจะมีชะตากรรมเช่นนี้ก็เพราะเขา แต่ก็มิอาจหลีกเลี่ยงได้

ถ้าคนหนึ่งตายไป แล้วจะรักษาบ้านเมืองเอาไว้ได้ เย่‍จิ่ง‍อวี้ย่อมลงมือโดยไม่เมตตาปรานีอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อฮ่องเต้องค์ก่อนยังมีชีวิตอยู่ เย่จิ่งเย่าใส่ร้ายเขาหลายครั้ง ถ้าเขาไม่แสร้งทำเป็นว่านอนสอนง่าย แล้วเขาจะมีชีวิตอยู่ได้นานหลายปีเช่นนี้ได้อย่างไร

ตอนนี้เป็นความเมตตาสูงสุดแล้วที่เขาให้พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกได้ไปพบกันในปรโลก

ความเยือกเย็นในเรียวตาหงส์ไหววูบ ใบหน้าอันหล่อเหลาของเย่‍จิ่ง‍อวี้ก็กลับมาสดใสดังเดิม

“จะมีการเคลื่อนศพในอีกสามวันต่อจากนี้ เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะให้คนส่งเจ้าไปที่วัดสุ่ยจิ้งเอง”

หลังจากพูดจบ เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็หันหลังเดินกลับออกไป

ทันทีที่เขาก้าวข้ามธรณีประตู เขาก็ได้ยินเจียงซิ่วหนิงพูดขึ้นมาอย่างกระวนกระวายใจ “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้เกลียดพระองค์เลย หม่อมฉันเพียงหวังว่าฝ่าบาทจะปฏิบัติต่อท่านพ่อเป็นอย่างดี”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ตกใจเล็กน้อย ต่อมาก็เข้าใจทันที

“ข้าจะทำตามความปรารถนาของเจ้า”

เจียงซิ่วหนิงหายใจออกช้าๆ โขกศีรษะคำนับลงกับพื้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์