เสียงแผ่วต่ำดังก้องอยู่ในหู ให้ความรู้สึกเหมือนมีเวทมนตร์อันทำให้หลงใหล
ใบหน้าของอินชิงเสวียนแดงเถือก นางต้องการผลักคนผู้นั้นออกไป แต่นางก็ถูกรัดแน่นขึ้นแทน
“ข้ายอมรับว่าครั้งที่แล้วข้าพูดจาไม่ดี ความจริงข้าใส่ใจมากจนว้าวุ่นใจ ยิ่งข้าชอบมากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งอดสงสัยไม่ได้ และยิ่งอดคิดไม่ได้ มีเพียงให้เจ้าอยู่เคียงข้างข้า ข้าถึงจะสบายใจได้”
เย่จิ่งอวี้รวบแขนเข้าหากัน จับอินชิงเสวียนมานั่งที่ตักของเขา
เรียวตาหงส์คู่นั้นจ้องมองใบหน้าอมชมพูประดุจดอกบัวอย่างไม่วางตา ด้วยกลัวว่าถ้าปล่อยมือ คนที่อยู่ในอ้อมแขนจะหายไปทันที
อินชิงเสวียนถูกเขาจ้องมองจนตัวร้อนผ่าว นางรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง
แต่แสร้งทำเป็นสงบและพูดว่า “ปล่อยผ่านไปเถอะ เหมือนฉันก็ไม่ใช่คนคิดหยุมหยิมอะไร ไม่ทะเลาะกับฝ่าบาทแล้ว ปล่อยหม่อมฉันได้แล้วเพคะ”
“ไม่ปล่อย”
เย่จิ่งอวี้คลายข้อมือออก แล้วกดอินชิงเสวียนลงบนเก้าอี้ตัวยาว
เขาพูดอย่างเอาแต่ใจ “จากนี้ไป ข้าจะหาเชือกมาผูกเจ้า ให้ติดอยู่กับสายรัดเอวของข้า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะจินตนาการว่า ตัวเองเป็นจี้ห้อยอยู่บนเอวของเย่จิ่งอวี้ โยกเยกขณะที่เขาเดิน แล้วอดไม่ได้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“เจ้าหัวเราะทำไม”
เย่จิ่งอวี้จับเอวคอดของนางด้วยความไม่พอใจ
อินชิงเสวียนเม้มริมฝีปาก ไอแห้งๆ “ไม่มีอะไร หม่อมฉันกลัวว่าตัวเองมีน้ำหนักมากเกินไป จนทำให้สายรัดเอวของฝ่าบาทหลุด ถึงตอนนั้นฝ่าบาทก็จะตัวเปลือยล่อนจ้อน”
เย่จิ่งอวี้พ่ายแพ้ เขาไม่คาดคิดว่านางจะคิดถึงเรื่องนี้จริงๆ
อดไม่ได้ที่จะยื่นนิ้วไปแตะหน้าผากอันเกลี้ยงเกลาของนางเบาๆ
“หัวเล็กๆ ของเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”
อินชิงเสวียนจับมือของเขา แล้วถอนหายใจ “สองวันที่ผ่านมาหม่อมฉันรู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ จึงนึกถึงอะไรสนุกๆ เพื่อทำให้ตัวเองมีความสุขขึ้นมาบ้าง”
เย่จิ่งอวี้มองดูนางแล้วถามว่า “ทำนองเพลงยากหรือ”
อินชิงเสวียนพยักหน้า พูดอย่างช่วยไม่ได้ “อีกเพลงหนึ่งก็ไม่กระไรนักหรอก หม่อมฉันพอจะเรียนมาได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว ส่วนอีกเพลงทำอย่างไรก็เล่นไม่ได้ อาจเป็นไปได้ว่าผู้อาวุโสลิ่นคงโกรธหม่อมฉันจนวิ่งเตลิดหายไปไหนแล้วก็ได้”
เย่จิ่งอวี้พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อเป็นท่วงทำนองที่แต่งขึ้นโดยผู้อาวุโสผู้เยี่ยมยอด จึงต้องมีเอกลักษณ์ของตัวเอง อย่าเพิ่งใจร้อน ต่อไปก็ค่อยๆ ฝึกฝนอยู่ในวัง ข้าก็รู้เรื่องดนตรีอยู่บ้าง บางทีข้าอาจให้คำแนะนำเจ้าได้”
ดวงตาของอินชิงเสวียนสว่างขึ้น และนางก็คลานออกมาจากวงแขนของเย่จิ่งอวี้
“ทำไมหม่อมฉันถึงลืมไปได้ว่าฝ่าบาทรู้เรื่องดนตรี เช่นนั้น...หม่อมฉันจะเล่นให้ฝ่าบาทฟังตอนนี้เลยดีหรือไม่”
เย่จิ่งอวี้รีบจับสาวน้อยที่ตื่นเต้นไว้อย่างรวดเร็ว
“ใกล้จะตีหนึ่งแล้ว ถ้าเล่นดนตรีตอนนี้ เกรงว่าคนทั้งครึ่งวังคงไม่ได้นอนกันพอดี”
อินชิงเสวียนมองฝ่าความมืดออกไปข้างนอก แล้วพูดด้วยความสงบใจได้ยากว่า “ถ้าอย่างนั้นไว้พรุ่งนี้เถอะ ฝ่าบาทก็ควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว”
“ข้าจะอยู่ที่นี่”
เย่จิ่งอวี้ถอดรองเท้าแล้วนอนบนเก้าอี้ตัวยาวกับนาง
อินชิงเสวียนก็ปิดปากหาว
พูดเป็นนัย “ฝ่าบาทห้ามคิดทำอะไรกับหม่อมฉันนะเพคะ”
เย่จิ่งอวี้กำลังจะตอบนางกลับ แต่ก็พบว่าอินชิงเสวียนเผลอหลับไปบนหมอนนุ่มแล้ว
เขาส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ แล้วดึงสาวน้อยเข้ามาในอ้อมแขนของเขา
กลิ่นหอมอ่อนๆ บนตัวนาง ทำให้จิตใจสงบ...
วันต่อมา
เมื่ออินชิงเสวียนตื่นขึ้นมา ดวงอาทิตย์ก็สูงถึงยอดไม้แล้ว
นางยืดเส้นยืดสายอย่างเกียจคร้าน ทันใดนั้นนางก็พบว่าอยู่ในวังนั้นทั้งสบายตัวและสบายใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...