ชายสูงอายุท่าทางมีความรู้ หน้าตาดูใจดี เขาอายุประมาณห้าสิบปี แต่เนื่องจากเขามีเส้นผมขาวโพลนมากเกินไป เขาจึงดูแก่กว่าอายุจริง
ชายหนุ่มอายุเพียงยี่สิบปี รูปลักษณ์หล่อเหลา นัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นคล้ายจะประดับด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอ
ตอนที่อินชิงเสวียนมองดูพวกเขาทั้งคู่ พวกเขาก็มองมาที่อินชิงเสวียนด้วยเช่นกัน
สตรีผู้นี้มีนัยน์ตาสดใสดั่งธารายามวสันต์ ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาผุดผ่อง ใบหน้างดงามราวสวรรค์ปั้นแต่ง
นางปักปิ่นดอกไม้ที่ทำจากทองและหยกบนศีรษะ สวมกระโปรงสีแดงดั่งผลซิ่ง ข้อมือและแขนเสื้อแต่งขอบด้วยสีทอง ทุกอากัปกิริยาล้วนคงไว้ซึ่งความสูงศักดิ์แห่งราชวงศ์
นอกจากนี้ยังมีเด็กทารกตัวกลมชมพูอยู่ในอ้อมแขน ดวงตาคู่โตสีเข้มกะพริบปริบๆ มองดูทั้งสองอย่างอยากรู้อยากเห็น
หลังจากตกตะลึงไปชั่วขณะ ชายหนุ่มก็กรีดร้องด้วยความประหลาดใจระคนยินดี
“น้องหญิงใหญ่!”
เขาพุ่งเข้าหาราวกับลูกธนู ยกตัวอินชิงเสวียนพร้อมกับเด็กทารกขึ้นลอย หมุนพวกเขาไปรอบๆ
อินจ้งก็ดูตื่นเต้นเช่นกัน เขาเดินสองก้าวไปหาลูกสาวแล้วหยุด
พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ปู้อวี่ อย่ากำเริบเสิบสาน ยังไม่รีบปล่อยหวงกุ้ยเฟยลงและมาแสดงความเคารพอีก”
พออินปู้อวี้เห็นน้องสาวของเขาครั้งแรก เขาดีใจมากจนลืมเรื่องนี้ไป เมื่อได้ยินดังนั้น เขาก็รีบปล่อยมือ ถอยหลังไปสามก้าว ยกชายเสื้อคลุมขึ้นแล้วคุกเข่าลงพร้อมกับผู้เป็นพ่อ
“กระหม่อมถวายพระพรหวงกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อนั้นอินชิงเสวียนจึงรู้ตัว ว่านี่คือพ่อและพี่ชายของเจ้าของร่างเดิม
ไม่สามารถปล่อยให้พ่อคุกเข่าให้ลูกสาว หรือให้พี่ชายคุกเข่าลงให้น้องสาวได้
จึงรีบยื่นมือออกไปหยุดทั้งสองคนไว้
“ท่านพ่อกับพี่รองไม่ต้องมากพิธี รีบลุกขึ้นเร็ว”
ทั้งสองยืนขึ้น แล้วอินปู้อวี่ก็หันความสนใจไปยังเสี่ยวหนานเฟิง
“ได้ยินมาว่าน้องหญิงใหญ่กับฝ่าบาทมีทายาทชื่อจ้าวเอ๋อร์ เขาคงจะเป็นหลานชายตัวน้อยของข้ากระมัง”
เสี่ยวหนานเฟิงไม่กลัวคนแปลกหน้าแม้แต่น้อย เมื่อเห็นอินปู้อวี่ผายมือมาที่เขา เขาก็อ้าแขนออก แล้วกอดคอของอินปู้อวี่
เมื่อเห็นว่าเด็กมีดูฉลาดเฉลียวเช่นนี้ อินปู้อวี่ก็อดใจไม่ไหว เขามองดูใบหน้าเล็กๆ กลมๆ แล้วหอมแก้มเขาแรงๆ
เสี่ยวหนานเฟิงก็ยื่นมือออกมาจิ้มจมูกของอินปู้อวี้อย่างอยากรู้อยากเห็น
แล้วอินปู้อวี่จูบนิ้วเล็กๆ ของเขา ท่าทางมีความสุขมาก
“คิ้วของเด็กคนนี้เหมือนกับคิ้วของน้องหญิงใหญ่ไม่มีผิดเลย”
อินจ้งแทบรอไม่ไหวที่จะอุ้มเด็ก
“มาให้ท่านปู่ดูเร็วเข้า”
เสี่ยวหนานเฟิงซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของอินจ้งอย่างเชื่อฟัง แล้วดวงตาแป๋วๆ ก็จ้องมองอินจ้งอย่างพิจารณา
ปกติคนที่เขาได้พบเจอก็มีแต่เสี่ยวอานจื่อ หรือยายหลี่ หรือไม่ก็อวิ๋นฉ่าย ผู้คนที่เขาเห็นในสองวันนี้ล้วนเป็นคนแปลกหน้า เสี่ยวหนานเฟิงไม่วายรู้สึกแปลกใหม่ ดวงตาคู่โตของเขามองกลับไปกลับมาระหว่างทั้งสองคนไม่หยุด
เมื่อเห็นเด็กจ้องมองตัวเอง อินจ้งก็รู้สึกเศร้าทันที
ในชั่วพริบตาเด็กน้อยก็โตขึ้นมาก ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเอง ลูกสาวของเขาคงไม่ถูกลากเข้าวังเย็น ครั้นคิดถึงปีที่ยากลำบากเหล่านั้น ดวงตาของอินจ้งก็กลายสีแดงทันที
เขาถอนหายใจและพูดว่า “ชิงเสวียน พ่อขอโทษเจ้านะ!”
เมื่อเห็นใบหน้าซูบเซียวของอินจ้ง และมือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยหยาบกร้าน อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงย่าของนางที่ทำงานตลอดทั้งปี รู้สึกแสบจมูกเหมือนจะร้องไห้
“ท่านพ่อไม่ต้องโทษตัวเองเจ้าค่ะ ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ท่านกับพี่รองก็กลับเมืองหลวงอย่างปลอดภัย นับเป็นเรื่องดีอย่างยิ่งแล้ว”
นางคิดมาตลอดว่านางพูดคำว่าพ่อไม่ได้ แต่ตอนนี้การพูดคำนี้กลับไม่ยากอย่างที่คิด
แม้ว่านางจะไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม แต่หยาดเลือดของตระกูลอินก็ไหลเวียนอยู่ในร่างกายนี้ ทันทีที่นางเห็นพวกเขาทั้งสอง นางก็รู้สึกใจดีและสนิทใจทันที
อินปู้อวี่ไม่อยากให้พ่อเสียใจ เขาจึงรีบพูดว่า “เพราะฉะนั้น ตอนนี้ครอบครัวของเรากลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว ควรจะมีความสุขถึงจะถูก หากท่านพ่อเสียใจ น้องหญิงใหญ่ก็พลอยรู้สึกไม่ดีตามไปด้วย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...