สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 390

เย่‍จิ่ง‍อวี้พูดอย่างอารมณ์ดี “ทั้งสองท่านโปรดลุกขึ้นเถิด หากพวกเราเป็นคนธรรมดา ข้าก็ควรเรียกแม่ทัพเฒ่าว่าท่านพ่อตาด้วยซ้ำ แม้ว่ากษัตริย์และขุนนางจะแตกต่างกัน แต่สำหรับข้า พวกท่านล้วนเป็นครอบครัวเดียวกันกับข้า”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ อินจ้งก็รู้สึกอบอุ่นในใจ

จู่ๆ ก็รู้สึกยินดีที่เย่จิ่งเย่าไม่ได้แต่งงานกับอินชิงเสวียน

เมื่อเช้านี้ก็ได้ยินมาว่าเย่จิ่งเย่าถูกลอบสังหาร เจียงซิ่วหนิงที่เป็นพระชายาก็ออกบวชชีที่วัดสุ่ยจิ้ง พอคิดว่านางอายุเท่ากับลูกสาวของตัวเอง เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจกับนาง

“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่รักบุตรีของกระหม่อม นี่เป็นวาสนาของชิงเสวียน และเป็นวาสนาของตระกูลอินเช่นกัน กระหม่อมยินดีที่จะใช้ทั้งชีวิตเพื่อตอบแทนต้าโจว และความมีน้ำใจของฝ่าบาท”

อินจ้งรู้สึกตัวในทันที เขากางเสื้อคลุมออก คุกเข่าลงกับพื้น แล้วโขกศีรษะลงบนพื้น

อินปู้อวี่ก็คุกเข่าตามเขา พูดด้วยเสียงอันดังว่า “กระหม่อมมีความคิดเช่นเดียวกับท่านพ่อ เต็มใจที่จะต่อสู้เพื่อต้าโจว แม้ต้องตายก็ไม่เสียดาย”

สองพ่อลูกมีแนวคิดคล้ายคลึงกัน ตราบใดที่พวกเขาทุ่มเทเพื่อต้าโจว อินชิงเสวียนก็จะสามารถรักษาตำแหน่งปัจจุบันของนางได้

พวกเขาไม่ได้แสวงหาความมั่งคั่งมากมาย และไม่คิดที่จะพึ่งพาการเลือกที่รักมักที่ชังนี้เพื่อการเลื่อนตำแหน่งหรือหารายได้ ที่สองพ่อลูกพูดเช่นนี้ ก็เพราะพวกเขาเพียงหวังว่าฝ่าบาทจะปฏิบัติต่ออินชิงเสวียนเป็นอย่างดี พวกเขาคนรู้ดีว่าเมื่อใดที่สตรีเข้าวัง นางจะทำตามใจปรารถนาไม่ได้ หากไม่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท ก็คงถูกรังแกแน่นอน

ไม่ว่าผู้หญิงคนนี้จะมีสถานะใดในสายตาของคนนอก ในสายตาของพวกเขา นางเป็นลูกสาวและน้องสาวที่ประพฤติตัวดีที่สุดน่ารักที่สุดของพวกเขา

เมื่อเห็นชายสองคนก้มหัวเพื่อตัวเอง ขอบตาของอินชิงเสวียนก็รื้นขึ้น

ตอนนี้นางถือได้ว่าเป็นคนที่มีครอบครัวแล้ว พวกเขาปกป้องนางเช่นนี้ นางก็ต้องพยายามเพื่อปกป้องพวกเขาอย่างดี

เรียวตาหงส์ของเย่‍จิ่ง‍อวี้เหลือบมอง และเมื่อสาวน้อยของเขาเม้มริมฝีปาก เขารู้ว่านางกำลังซึ้งใจ เขาจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านขุนนางทั้งสองโปรดลุกขึ้นเถิด หากพวกท่านทำเช่นนี้ ประเดี๋ยวเสวียน‍เอ๋อร์จะมาโทษข้าเอา”

อินชิงเสวียนมองค้อนไปยังเย่‍จิ่ง‍อวี้ พูดแบบนี้ก็เหมือนนางเป็นเมียที่ดุเหมือนเสือน่ะสิ

แต่พอเหลือบมองก็เห็นว่าเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงหยิบพู่กันขึ้นมา และขีดเขียนลงบนฎีกา นางจึงอดตกใจไม่ได้

“จ้าวเอ๋อร์ วางพู่กันลงเร็ว”

เย่‍จิ่ง‍อวี้กลับไม่รู้สึกไม่พอใจ เขามองดูลูกชายด้วยสีหน้ารักใคร่ลุ่มหลงแล้วพูดว่า “จ้าวเอ๋อร์เป็นโอรสสายตรงของข้า ในอนาคตก็ต้องขึ้นครองราชย์ จะทำความคุ้นเคยกับการตรวจฎีกาก็ถูกต้องแล้ว”

อินชิงเสวียนพูดไม่ออก เขาอายุเพียงไม่กี่เดือนเองนะ จะอ่านอะไรได้

ทางด้านเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงก็ไม่รู้ว่าเขาฟังเข้าใจหรืออะไร แต่เท้าเล็กๆ ก็แกว่งไปมาอย่างมีความสุข เขาหยิบพู่กันขึ้นมาวาดเคราบนใบหน้าของเย่‍จิ่ง‍อวี้

อินชิงเสวียนทนไม่ไหวแล้ว นางรีบเข้าไปอุ้มเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงออกมา

“ฝ่าบาทอย่าตามใจเขามากเกินนักเลย หลี่กงกง รีบนำผ้าไปเช็ดพระพักตร์ฝ่าบาทเร็วเข้า”

ครั้นแล้วหลี่เต๋อฝูวิ่งเข้ามาจากด้านนอก แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ว้าว ท่านอ๋องน้อยตัวเท่านนี้ก็เขียบอักษรได้แล้ว น่าทึ่งจริงๆ”

ขณะที่เขาพูด เขาก็เอาผ้าชุบน้ำไปด้วย จากนั้นก็เช็ดคราบหมึกบนใบหน้าของเย่‍จิ่ง‍อวี้อย่างระมัดระวัง

ต้องบอกว่าคำพูดของหลี่เต๋อฝูมีวาทศิลป์มาก เย่‍จิ่ง‍อวี้ที่ได้ยินก็รู้สึกสบายใจ

“อีกสักพัก ข้าจะเลือกคนจากบรรดาอ๋องและโหวเข้ามาเป็นสหายร่วมเรียนในวัง ต่อไปจะได้เป็นเพื่อนเรียนกับจ้าวเอ๋อร์”

เมื่อเห็นว่าฝ่าบาทรักใคร่สองแม่ลูกมากเพียงนี้ อินปู้อวี่ก็โล่งใจ

ก่อนหน้านี้คนชุดดำเคยกล่าวไว้ว่าพวกเขาถูกฝ่าบาทส่งมา ซึ่งทำให้อินปู้อวี่ยังมีปมในใจ แม้ต่อมาเขาได้รับการช่วยเหลือแล้ว เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ พอได้เห็นพวกเขาในวันนี้ ในที่สุดเขาก็เชื่อแล้ว

ถ้าฝ่าบาทปฏิบัติต่อน้องหญิงใหญ่เช่นนี้ เขาจะฆ่าพวกเขาพ่อลูกได้อย่างไร

อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “จ้าวเอ๋อร์อายุเพียงไม่กี่เดือนเองเพคะ เริ่มเรียนตอนนี้ยังเร็วไป ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้อายุถึงสามขวบก่อน จึงจะเข้าใจอะไรได้บ้าง”

นางอยากให้ลูกชายได้ผ่อนคลายไปก่อน ปล่อยให้เล่นสนุกไปตามวัย แม้แต่ในยุคปัจจุบัน ก็ยังเริ่มเข้าโรงเรียนอย่างจริงๆ จังๆ ก็ตอนอายุเจ็ดขวบ ใครล่ะจะยอมให้ลูกฟังเรื่องไร้สาระตั้งแต่อายุยังน้อยขนาดนี้

เย่‍จิ่ง‍อวี้พูดด้วยรอยยิ้มว่า “จ้าวเอ๋อร์ของข้าเฉลียวฉลาดมากขนาดนี้ ไม่ต้องรอถึงสามขวบหรอก อายุหนึ่งขวบก็เรียนได้แล้ว เรื่องนี้ก็เป็นอันตกลงตามนี้เถอะ ยากนักที่ท่านขุนนางทั้งสองจะเข้าวังได้ ข้ากำลังอยากให้พวกเขาทั้งสองคนได้ชิมอาหารที่ทำจากแป้งสาลีอยู่พอดี เช่นนั้นก็ไปรับประทานอาหารเย็นกับข้าที่ตำหนักจินหวูเถอะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์