อินปู้อวี่พูดด้วยใบหน้ามีความสุข “เจอแล้ว น้องหญิงใหญ่ยังฝากเกี๊ยวมาให้ท่านแม่รองกับน้องเล็กด้วย”
อินจื่อลั่วเอียงคอถามด้วยความสงสัย “เกี๊ยวคืออะไรเจ้าคะ”
อินปู้อวี่หยิบถุงกระดาษไขออกมา แล้วโบกไปมาต่อหน้าน้องสาวคนเล็ก
“ของอร่อย ประเดี๋ยวถ้าเจ้าได้ลองแล้วจะรู้”
อินจื่อลั่วสูดดมแรงๆ
“กลิ่นหอมจัง ข้าได้กลิ่นเนื้อด้วย”
แม้ว่าพวกเขาทั้งครอบครัวจะกลับเมืองหลวงและอาศัยอยู่ในจวนหลังใหญ่ แต่ก็ยังไม่มีเงิน
พวกเขาสองคนพ่อลูกที่ทำงานหยาบๆ ในเมืองซุ่ยหาน กว่าจะหาเงินสักอีแปะมาเลี้ยงครอบครัวได้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ เมื่อได้ยินสิ่งที่อินจื่อลั่วพูด อินจ้งก็อดรู้สึกผิดไม่ได้
เขาลูบศีรษะเล็กๆ ของนางแล้วพูดว่า “ตอนนี้พ่อกับพี่รองกลับมารับตำแหน่งเดิมแล้ว ขอเพียงเรายืนหยัดต่อไปอีกหน่อย ก็จะมีเบี้ยรายเดือนแล้ว เกี๊ยวยังร้อนๆ อยู่ พวกเจ้าสองคนแม่ลูกรีบกินเถอะ”
ทุกคนเข้าไปในห้องโถง แล้วอินจ้งก็เปิดถุงกระดาษไขอย่างระมัดระวัง
อินจื่อลั่วยื่นมือเล็กๆ ออกมาหยิบเกี๊ยวขึ้น แล้วส่งให้ผู้เป็นแม่ด้วยความเคารพ
“ท่านแม่กินก่อนเจ้าค่ะ”
“เจ้ากินเถอะ แม่ไม่หิว”
ซูหมิงหลานมองลูกสาวด้วยสีหน้าอ่อนโยน
แล้วอินจื่อลั่วก็ส่งให้ผู้เป็นพ่อที่อยู่เบื้องหน้า “ท่านพ่อกินสิเจ้าคะ”
“พ่อกับพี่รองกินมาแล้ว นี่เป็นส่วนที่พี่สาวของเจ้าเอาไว้ให้เจ้ากับแม่เป็นพิเศษ”
เมื่อได้ยินคำว่าว่าเป็นพิเศษ ซูหมิงหลานรู้สึกซึ้งใจ
“ชิงเสวียนโตขึ้นแล้วจริงๆ!”
ในอดีตนางมักจะตีตนออกห่างจากพวกนางสองแม่ลูกเสมอ แทบจะไม่ได้คุยกับพวกนางเลย
ของที่นางทำให้ ถ้าอินชิงเสวียนไม่ฉีกทำลายก็จะตัดทิ้ง พอเป็นชุดแต่งงานของนาง หมิงหลานจึงไม่กล้าบอกว่านางเป็นคนตัดเย็บให้
อินจ้งพูดด้วยสีหน้าปลื้มปีติ “ใช่แล้ว ชิงเสวียนแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก ฝ่าบาทยังอนุญาตให้นางกลับมาอยู่กับเราสองสามวัน บางทีอาจเป็นเพราะตอนนี้ชิงเสวียนนางมีลูก จึงรู้ถึงความตั้งใจของเจ้าที่ทำเพื่อนาง เด็กคนนั้นน่ารักมากทีเดียว”
ทันใดนั้นอินจื่อลั่วก็ถามอย่างตื่นเต้นยินดี “ว้าว ท่านพี่มีลูกแล้ว เช่นนั้นข้าต้องเรียกเขาว่าหลานน้อยใช่หรือไม่เจ้าคะ”
อินปู้อวี่ลูบศีรษะของน้องสาวเบาๆ ด้วยความรัก
เขาพูดด้วยน้ำเสียงยานคาง “ใช่ แต่ต้องเรียกเป็นการส่วนตัวเท่านั้นนะ ตอนนี้พี่สาวของเจ้าเป็นหวงกุ้ยเฟยแล้ว พวกเราจะทำตัวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงไม่ได้”
ซูหมิงหลานดูประหลาดใจ “นางเป็นพระสนมมิใช่หรือ ทำไมถึงกลายเป็นหวงกุ้ยเฟยได้ล่ะ”
อินจ้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นราชโองการแต่งตั้งที่ประกาศเมื่อเช้านี้ ฝ่าบาทตรัสเองว่าลูกของชิงเสวียนจะเป็นฮ่องเต้ในอนาคต คิดว่าอีกไม่นานนางจะได้รับการแต่งตั้งยศขึ้นเป็นฮองเฮา”
ซูหมิงหลานรู้สึกเศร้าอยู่พักหนึ่ง พลางถอนหายใจ “เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเด็กคนนี้ไม่ชอบฝ่าบาท แต่นางก็ยอมลำบากตัวเองเพื่อพวกเราทั้งครอบครัว พวกเราเป็นหนี้นางมากจริงๆ”
อินจ้งนั่งลงบนเก้าอี้แล้วพูดอย่างอบอุ่น “อย่าคิดมากเลย ข้าเห็นนางกับฝ่าบาทดูรักใคร่กันดี บัดนี้เย่จิ่งเย่าก็ตายแล้ว บางทีนางอาจจะคิดได้แล้วจริงๆ”
ซูหมิงหลานแอบป้ายน้ำตาที่หางตา แล้วฝืนพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดีที่สุดแล้ว เฮ้อ ข้าไม่รู้จะพูดอะไร”
อินปู้อวี่จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนั้นก็อย่าไปพูดถึงเลย ท่านแม่รองลองชิมเกี๊ยวเร็วเข้า ได้ยินมาว่าเกี๊ยวเหล่านี้ทำจากแป้งสาลี ซึ่งน้องหญิงใหญ่ของเราก็บริจาคเมล็ดพืชนี้ด้วย”
ซูหมิงหลานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“โอ้? มีเรื่องเช่นนี้จริงรึ”
อินจื่อลั่วอดใจรอไม่ไหวกินไปแล้วชิ้นหนึ่ง ดวงตากลมโตเบิกกว้าง
“อร่อยจัง ท่านแม่ลองดูสิเจ้าคะ”
ซูหมิงหลานกินเกี๊ยวคำหนึ่ง แล้วขอบตาของนางวก็แดงรื้นขึ้นอีก
“อร่อยจริงๆ...”
ณ ตำหนักจินหวู
เย่จิ่งอวี้เมากรึ่มๆ ถูกเสี่ยวอานจื่อประคองลงจากศาลาหิน
ยายหลี่รีบไปปรุงน้ำแกงสร่างเมาทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...