สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 392

อินปู้อวี่หน้าแดงเถือก จนไม่กล้าคีบอาหารกินเลย

เมื่อเห็นเขาดื่มแต่สุรา อินชิงเสวียนก็รีบคีบเกี๊ยวให้เขา

พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เอาแต่ดื่มสุราจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ พี่รองกินอะไรอย่างอื่นบ้าง”

อินปู้อวี่เกิดความรู้สึกซาบซึ้งใจ น้องสาวยังนึกถึงเขาอยู่ เกี๊ยวนี้อร่อยมากจริงๆ

เมื่อเห็นฝ่าบาทพูดคุยกับผู้เป็นพ่อ เขาก็ถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทันที “ยังมีอีกหรือไม่ พอแบ่งให้พี่เอาไปให้ท่านแม่รองกับน้องเล็กด้วยได้หรือไม่”

อินชิงเสวียนนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นแล้วภาพของสตรีที่อ่อนโยนและเด็กหญิงตัวเล็กที่ไร้เดียงสาและมีชีวิตชีวาก็ปรากฏขึ้นในใจของนาง

นางลืมไปแล้วโดยสิ้นเชิง ว่าเจ้าของร่างเดิมก็มีท่านแม่รองและน้องสาวต่างมารดาด้วย

บางทีอาจเป็นเพราะเจ้าของร่างเดิมอาจไม่ชอบใจท่านแม่รองคนนี้ จึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพวกนางสองแม่ลูกมากนัก

ถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทันทีว่า “ท่านแม่รอง...ดีกับท่านและท่านพ่อหรือไม่”

อินปู้อวี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“เหคุใดจึงถามเช่นนี้ ชุดแต่งงานของน้องหญิงใหญ่ก็เป็นท่านแม่รอง ที่เย็บให้เจ้ากว่าสิบวันสิบคืนด้วยมือของนางเอง”

ในยุคปัจจุบันอินชิงเสวียนอ่านนิยายนองเลือดมากมาย พอนางได้ยินคำว่าแม่รองและน้องสาวต่างมารดา นางก็ทึกทักไปเองโดยปริยายว่าสองคนนี้เป็นคนไม่ดี

บางทีพวกนางอาจเสแสร้งแกล้งทำก็ได้ ถึงอย่างไรบุรุษก็เป็นคนมีจิตใจหยาบไม่ละเอียดอ่อน แยกแยะเรื่องประเภทนี้ไม่ได้

แต่เมื่ออินปู้อวี่เอ่ยปากแล้ว เช่นนั้นก็ต้องทำให้เขาสงบปากไปก่อน แล้วจึงเรียกอวิ๋นฉ่ายมา ให้นางไปนวดแป้งเพิ่มและห่อเกี๊ยวทั้งสองคนนำกลับบ้านด้วย

ทั้งหมดรับประทานอาหารกลางวันจนพระอาทิตย์เกือบตกดิน อินจ้งจึงลุกขึ้นยืนตัวเซด้วยท่าทางเมากรึ่มเล็กน้อย

“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงจัดงานเลี้ยงต้อนรับกระหม่อมสองคนพ่อลูก วันนี้ก็รบกวนนานแล้ว จึงขอลากลับไปก่อน”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็ดื่มไปหลายจอก ใบหน้าหล่อเหลาดั่งหยกขาวก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอ่อนๆ

เขาหัวเราะเสียงก้องกังวานแล้วพูดว่า “ท่านขุนนางเฒ่าไม่จำเป็นต้องมากพิธี ท่านและปู้อวี่ได้รับบาดเจ็บทั้งคู่ วันนี้ข้าจะไม่เก็บรั้งพวกท่านไว้นานแล้ว หลังจากที่พวกท่านปักหลักเรียบร้อยดี ข้าจะให้เสวียน‍เอ๋อร์ออกจากวัง ไปอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาในครอบครัวสักหลายๆ วัน”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ อินจ้งก็ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงทันที พูดด้วยความเคารพ “กระหม่อมขอขอบพระทัยฝ่าบาท!”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ยื่นมือออกไปช่วยพยุงอินจ้งขึ้น

“ท่านขุนนางเฒ่าโปรดลุกขึ้นเถิด พ่อลูกได้พบกันเดิมทีก็เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้ว หากท่านเกรงใจ ยิ่งทำให้ข้าดูเหมือนคนไม่เข้าใจหลักการของธรรมชาติของมนุษย์”

“ฝ่าบาททรงมีคุณธรรม กระหม่อมซาบซึ้งใจยิ่งนัก”

อินจ้งใช้แขนเสื้อป้ายหางตาตัวเอง ในใจรู้สึกผสมปนเปกันไปหมด

อินจ้งรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งที่แล้วสามารถชำระล้างความผิดที่เขาไม่ได้ก่อได้ จะคาดหวังว่าจะได้รับความกรุณาเช่นนี้ได้อย่างไร เขาลอบมองลูกเงียบๆ และเห็นนางกำลังกระซิบกระซาบพูดคุยกับองค์หญิง เขาก็รู้สึกชื่นใจ

ชิงเสวียนโตขึ้นแล้วจริงๆ!

เป็นตระกูลอินที่บังคับให้นางเติบโตขึ้น!

เมื่อนึกถึงจดหมายลับฉบับนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงบุตรชายคนโต

เขารีบโค้งคำนับแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมีอีกสิ่งหนึ่งที่กระหม่อมอยากจะถาม ไม่ทราบว่าตอนนี้อินสิงอวิ๋นเจ้าคนกบฏนั่นอยู่ที่ไหนแล้ว”

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม การที่อินสิงอวิ๋นหลบหนีจากเมืองซุ่ยหาน ถือเป็นความผิดร้ายแรง อินจ้งสามารถเรียกด้วยคำว่ากบฏเท่านั้น

เรียวตาหงส์ของเย่‍จิ่ง‍อวี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าสืบพบความจริงแล้วว่า การกระทำของอินสิงอวิ๋นในครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะถูกยุยงเสี้ยมสอนจากผู้อื่น จึงมีราชโองการให้เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าให้เขาออกจากเมืองหลวงไปกับผู้ช่วยเจ้ากรมโยธาเพื่อช่วยดูแลน้ำทางเหนือ อีกไม่กี่วันก็จะเดินทางกลับเมืองหลวงแล้ว”

เมื่อได้ยินว่าพี่ใหญ่สบายดี และยังถูกส่งไปทำธุระ อินปู้อวี่ก็รู้สึกยินดี ทว่าอินจ้งกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

แม้ว่าอินสิงอวิ๋นจะเก่งทั้งทางบุ๋นและบู๊ แต่ความสามารถที่แท้จริงของเขายังเอนเอียงไปทางการต่อสู้ ทำไมฝ่าบาทถึงส่งเขาไปดูแลน้ำ ช่างดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์