“เจ้าพูดอะไรนะ”
ทีแรกอินจ้งคิดว่าตัวเองได้ยินผิด
จนกระทั่งอินชิงเสวียนพูดซ้ำอีกครั้ง เขาก็ถามอย่างเดือดพล่าน “สิงอวิ๋นไปที่เจียงวูได้อย่างไร”
“เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน ท่านพ่อโปรดนั่งลงก่อน และฟังข้าอย่างใจเย็น”
บนศาลาหินในจวน อินชิงเสวียนอธิบายเรื่องราวของอาซือหลานที่ปลอมตัวเป็นอินสิงอวิ๋นทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ
อินจ้งที่ได้ยินก็ทั้งตกใจทั้งโมโห เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าท่านอ๋องแห่งเจียงวูจะซุ่มซ่อนอยู่ข้างกายเขามานานกว่าหนึ่งปี ยิ่งไม่คาดคิดว่าคนที่ไปเมืองซุ่ยหานกับเขาจะเป็นตัวปลอมจริงๆ
เขาอดไม่ได้ที่จะตบฝ่ามือลงบนโต๊ะหิน
“เจ้าชาติสุนัขนี่ ปลอมตัวได้คล้ายตัวจริงมาก ขนาดสายตาของข้ายังสามารถปิดบังอำพรางได้”
อินปู้อวี่ก็ตกใจเช่นกัน
“น้องหญิงใหญ่หมายความว่า พี่ใหญ่กลายเป็นราชบุตรเขยของเจียงวูไปแล้ว?”
อินชิงเสวียนพยักหน้า
“พวกเขาพูดอย่างนั้น แต่อาจไม่จริงก็ได้ แต่ถึงอย่างไรเรื่องที่พี่ใหญ่ถูกกักตัวไว้ในเจียงวู ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องโกหก ถ้าไม่อย่างนั้นอาซือหลานคงไม่รู้ถึงนิสัยใจคอการใช้ชีวิตของพี่ใหญ่จนชัดเจนแจ่มแจ้งขนาดนี้ จนเขาสามารถหลอกลวงทุกคนได้”
นางเหลือบมองอินจ้งแล้วพูดว่า “ลูกไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังท่านพ่อ นี่เป็นความตั้งใจของฝ่าบาท เดิมทีคิดว่าจะสามารถใช้ดินปืนเอาชนะและแลกตัวพี่ใหญ่กลับมาได้ ใครจะคิดว่าโหวเหนือและพวกจะไร้ปะโยชน์เพียงนั้น”
อินจ้งย่อมเชื่อลูกสาวอยู่แล้ว เพราะฝ่าบาทไม่ได้บอกเขาเกี่ยวกับเจียงวูจริงๆ
อินจ้งอ่านจดหมายลับในขณะที่เย่จิ่งอวี้กำลังไปเปลี่ยนชุดลำลอง บัดนี้เขาได้กลับคืนสู่ราชสำนักแล้ว เขาไม่สามารถนิ่งดูดายได้ แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะเกี่ยวข้องกับอินสิงอวิ๋น คราวนี้ เขาจะต้องไปอย่างแน่นอน
เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “พ่อรู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ และยังรู้ถึงความรักของฝ่าบาทที่มีต่อตระกูลอิน ด่านถงกู่เป็นปราการด่านสุดท้ายของต้าโจว หากด่านนั้นพัง ราษฎรจะถูกกองทหารม้าของเจียงวูทำการสังหารหมู่อย่างแน่นอน พ่อในฐานะแม่ทัพแห่งต้าโจว จะเพิกเฉยต่อความปลอดภัยของบ้านเมืองได้อย่างไร และในฐานะพ่อ ยิ่งไม่สามารถปล่อยให้พี่ใหญ่ของเจ้าเสื่อมโทรมแบบนี้ได้ และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลส่วนตัวหรือส่วนรวม พ่อก็ต้องไป”
อินปู้อวี่พูดทันทีว่า “ท่านพ่อพูดถูก ต้องไม่ให้พี่ใหญ่แต่งงานกับศัตรูเด็ดขาด ครั้งนี้ต้องพาเขากลับเมืองหลวงให้ได้”
เมื่อเห็นสีหน้าที่เด็ดขาดบนใบหน้าของสองพ่อลูก อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “พี่ใหญ่จงรักภักดีต่อบ้านเมืองและฝ่าบาท ทั้งยังมีนิสัยสุขุมเยือกเย็น เขาจะไม่ทำอะไรที่เป็นการทรยศบ้านเมืองแน่ การรั้งอยู่ที่เจียงวูในครานี้ จะต้องมีนัยแอบแฝงแน่นอน”
อินจ้งส่งเสียงอืมรับเบาๆ และพูดว่า “เจ้าพูดถูก พี่ใหญ่ของเจ้าไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่นจริงๆ ความจริงจะเป็นเข่นไรนั้น เราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว”
อินชิงเสวียนถามอีกครั้ง “อาการบาดเจ็บของพ่อและพี่รอง...”
อินจ้งยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่หนักมากแล้วล่ะ ไม่ต้องกังวล”
อินปู้อวี่กล่าวเสร้มอีกว่า “น้องหญิงใหญ่วางใจเถอะ ข้าจะดูแลพ่ออย่างดี แต่น้องหญิงใหญ่...”
เมื่อคิดถึงคนชุดดำที่ไม่ทราบที่มา อินปู้อวี่ก็ขมวดคิ้วทันที
อินชิงเสวียนไม่ต้องการให้เขาพูดมากกว่านี้ นางจึงรีบพูดตัดบทว่า “ข้าไม่เป็นไร วันมะรืนนี้ข้าก็จะกลับวังแล้ว ในวังมียอดฝีมือมากมาย ไม่มีใครทำอันตรายข้าได้”
อินจ้งเงยหน้าขึ้นถามว่า “เกิดอะไรขึ้นรึ หรือว่ามีคนจะทำร้ายน้องหญิงใหญ่ของเจ้า?”
เมื่อคืนเขาเมามาก ไม่ได้ยินอะไรเลย ย่อมว่าไม่รู้เรื่องที่ลูกชายและลูกสาวถูกทำร้าย
อินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มีฝ่าบาทอยู่ ใครจะกล้าทำร้ายข้า”
เมื่อนึกถึงท่าทีที่ฝ่าบาทที่มีต่อลูกสาวของเขา อินจ้งก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
หากเขาครั้งนี้เขาสามารถสร้างผลงานการศึกชนะมาได้ ฝ่าบาทก็จะให้ความสำคัญกันลูกสาวของเขาเพิ่มขึ้นอีก
“ภายหน้าเมื่อกลับวังแล้ว ก็อย่าเย่อหยิ่งเพราะเป็นที่โปรดปราน อยู่ร่วมกับนางสนมคนอื่นก็มีแต่ต้องใจกว้างเท่านั้น ถึงจะอยู่ในวังได้นาน”
อินชิงเสวียนก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “ขอบคุณท่านพ่อที่สอนสั่ง ลูกจะจดจำไว้ให้ดี”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...