“ฝ่าบาท!”
สวีจือย่วนร้องเรียกด้วยเสียงอ่อนหวาน เดินเยื้องกรายไปยังเก้าอี้ตัวยาวที่อยู่เบื้องหน้า
เย่จิ่งอวี้จับมือของนาง เรียวตาหงส์พร่าเลือน
“เสวียนเอ๋อร์ เป็นเจ้าจริงๆ”
สวีจือย่วนนั่งลงข้างเก้าอี้ตัวยาว แล้วถามว่า “ฝ่าบาทเมาแล้วจริงๆ หรือเพคะ”
“แค่ได้เห็นเจ้า ข้าก็เมาแล้ว”
ริมฝีปากของเย่จิ่งอวี้ประดับด้วยรอยยิ้ม ดวงตาทั้งคู่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยควันก็เริ่มมืดมัวมากขึ้น
เขาจำได้ว่าตอนที่เสวียนเอ๋อร์ออกไป นางสวมกระโปรงสีชมพู และผู้ที่สามารถมาที่ตำหนักเฉิงเทียนได้ในเวลานี้ ก็มีนางเพียงคนเดียว
“ทำไมถึงกลับมาช้านัก คิดถึงข้ารึ”
สวีจือย่วนมองดูเขา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน “สตรีที่อยู่ในวังแห่งนี้ มีผู้ใดบ้างที่ไม่คิดถึงฝ่าบาท”
“เช่นนั้นก็อยู่ที่นี่ อยู่กับข้า”
เย่จิ่งอวี้รั้งตัวสวีจือย่วนลงมาข้างกายตัวเอง ทันใดนั้นเขารู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง ยกมือขึ้นจับหน้าผาก
“ฝ่าบาททรงปวดศีรษะหรือเพคะ หม่อมฉันจะนวดให้ฝ่าบาทเอง”
สวีจือย่วนกำลังจะลุกขึ้น แต่ถูกเย่จิ่งอวี้รั้งไว้
“ข้าไม่เป็นไร คุยกับข้าดีกว่า”
สวีจือย่วนกัดมุมปาก แล้วพูดเสียงนุ่ม “นี่ก็ดึกมากแล้ว มิสู้...ให้หม่อมฉันช่วยประคองฝ่าบาทไปที่เตียงก่อนแล้วค่อยคุยกัน”
เย่จิ่งอวี้เงยหน้ามองด้วยดวงตาสีแดง ราวกับว่าเขาเห็นอินชิงเสวียนกำลังเชิญชวนตัวเองด้วยรอยยิ้ม เมื่อนึกถึงท่าทางเขินอายหวาดกลัวของนาง เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกคึกคัก
“ดี”
เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้ยืนขึ้นอย่างไม่มั่นคง หลี่เต๋อฝูในห้องโถงด้านนอกก็อดเป็นกังวลไม่ได้
เขาอยู่กับฝ่าบาทมานานมากแล้ว เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าฝ่าบาทชอบใคร
แม้ว่าสวีจือย่วนจะอยู่ในตำหนักเฉิงเทียนวันนั้น แต่นางก็เล่นดนตรีทั้งคืน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงท่าทีของฝ่าบาทได้ดี
หากนางใช้ช่องโหว่ในวันนี้ ฝ่าบาทคงจะทะเลาะกับหวงกุ้ยเฟยอย่างแน่นอน และเมื่อครู่นี้เขาก็ได้ยินฝ่าบาทกำลังเรียกเสวียนเอ๋อร์ ไม่ใช่นายหญิงสวี
ขณะที่กำลังคิดอย่างกระวนกระวายอยู่นั้น ขันทีน้อยก็เอาน้ำแกงสร่างเมามาให้ หลี่เต๋อฝูรีบเปิดประตูแล้วพูดเสียงดัง “ฝ่าบาท น้ำแกงสร่างเมามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
สวีจือย่วนกำลังปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเย่จิ่งอวี้ เมื่อได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็พลันมืดมน
“วางลงเถอะ ข้าจะให้ฝ่าบาทดื่มเอง”
หลี่เต๋อฝูหัวเราะแล้วพูดว่า “ร้อนเกิดฝ่าบาทก็ดื่มไม่ได้ เย็นเกินก็ไม่ได้ มีเพียงบ่าวเท่านั้นที่รู้ว่าฝ่าบาทสามารถดื่มได้ในระดับความอุ่นเท่าใด ให้บ่าวอยู่รับใช้จะดีกว่า”
หานปิงที่อยู่ข้างๆ พูดอย่างไม่พอใจ “หลี่กงกงหมายความว่าอะไร นายหญิงของเราปรนนิบัติไม่ดีเท่าเจ้าหรือ”
“ถึงแม้นายหญิงจะระมัดระวัง แต่ก็ไม่เข้าใจฝ่าบาทเท่ากับบ่าว บัดนี้ฝ่าบาทเมาแล้ว แยกแยะอะไรไม่ชัดเจน นายหญิงห้ามกระทำการสิ่งใดที่จะทำอะไรทรงกริ้วมิได้ ถ้าถูกเอาผิดขึ้นมา นายหญิงก็อาจรับผิดชอบไม่ไหว”
หลี่เต๋อฝูโค้งเอว ใบหน้าระบายไปด้วยรอยยิ้ม แต่ทุกคำพูดที่เขาพูดนั้นแม่นยำชัดเจน
สวีจือย่วนเป็นคนฉลาด เข้าใจคำเตือนในคำพูดของหลี่เต๋อฝูทันที
แต่นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก หากวันนี้ทำให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก สามารถตั้งครรภ์มังกรได้ ไม่แน่ว่าอาจสามารถไปถึงสวรรค์ได้ในขั้นตอนเดียว
นางไม่ต้องการความรักอีกต่อไป แต่นางต้องการไขว่คว้าตำแหน่งและสถานะเอาไว้
เมื่อคิดถึงตอนที่ถูกลู่จิ้งเสียนรังแกหลายต่อหลายครั้ง จู่ๆ ความเย็นชาก็ปรากฏขึ้นในดวงตา
นางผลิยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “หลี่กงกงกล่าวเกินไปแล้ว ตอนนี้ข้าเข้าวังแล้ว ก็คือสตรีของฝ่าบาท การรับใช้ฝ่าบาทก็เป็นสิ่งที่ควรทำเช่นกัน หลี่กงกงวางใจได้ วางน้ำแกงสร่างเมาไว้ตรงนั้น แล้วเจ้าก็ออกไปได้แล้ว”
หลี่เต๋อฝูยังคงถือน้ำแกงสร่างเมาอยู่ ทว่ารอยยิ้มกลับดูแข็งทื่อเล็กน้อย
“นายหญิงสวีน่าจะรู้พระทัยของฝ่าบาท ไฉนจึงทำเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้อยู่อีกเล่า”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...