เย่จิ่งอวี้ยังคงดื้อดึงที่จะประทับรอยจูบบนริมฝีปากของอินชิงเสวียน
จูบที่ผิวเผินราวกับแมลงปอเดินบนน้ำ และจากไปอย่างรวดเร็ว
เขามองอินชิงเสวียนที่นั่งอยู่บนขาของตัวเอง ใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย มีเสียงที่แสดงความไม่พอใจอยู่ในน้ำเสียงของนาง
“ข้าต้องไปว่าราชกิจแล้ว เจ้านอนที่นี่เถอะ เมื่อตื่นนอนข้าจะกลับมาพอดี”
อินชิงเสวียนขยับไปด้านข้างด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
“ไม่ดีกว่าเพคะ จ้าวเอ๋อร์กลับตำหนักจินหวูแล้ว ข้าต้องไปอยู่กับเขา”
“เจ้ากลับไปตอนนี้เขาก็นอนอยู่ หากว่าเขาตื่น เจ้าจะยิ่งนอนไม่ได้เลยนะ เชื่อข้าสิ”
เย่จิ่งอวี้กดไหล่ของอินชิงเสวียนไว้ เสียงนุ่มทุ้มลึกร้อยเรียงกันเข้าไปในหูของอินชิงเสวียน อินชิงเสวียนต้องมนตร์สะกดในทันที และพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
เย่จิ่งอวี้ยิ้มและจูบหน้าผากของนางด้วยริมฝีปากบาง
“เด็กดี”
เขาอุ้มอินชิงเสวียนไปที่เตียงมังกร ปลดมุ้งลง จากนั้นจึงเดินออกไปอย่างมีความสุข
ผ้าห่มของอินชิงเสวียนถูกรัดไว้อย่างแน่นหนา มีเพียงหัวที่โผล่ออกมา นางมองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นว่ามันเริ่มสว่างแล้วจริงๆ นางจึงหาวออกมาอย่างอดไม่ได้
ค่ำคืนนี้ผ่านไปไวเสียจริง!
ช่างเถอะ อย่างไรก็มีคนคอยดูแลเสี่ยวหนานเฟิงอยู่ พักผ่อนให้สบายใจดีกว่า
อินชิงเสวียนผ่อนคลายจิตใจลง เพียงครู่เดียวนางก็ไปเข้าเฝ้าพระอินทร์เป็นที่เรียบร้อย
เมื่อแสงแรกสาดส่องมายังพื้นโลก เรื่องที่สวีจือย่วนถูกสั่งสอนก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งวังหลัง
ซูฉ่ายเวยกำลังนั่งดื่มชาอยู่ในตำหนัก มีปิ่นติดผมมุกที่งดงามบนศีรษะของนาง ชุดกระโปรงผ้าทอสีฟ้าอ่อนทำให้นางดูสง่างามและสูงส่ง ผิวพรรณของนางก็ค่อนข้างดีเช่นเดียวกัน
ตั้งแต่ได้แต่งตั้งเป็นสนมเอก คุณภาพของชาดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก และสีของผ้าไหมก็สดใสกว่าเดิมอีกด้วย
ซูฉ่ายเวยพึงพอใจกับความเป็นอยู่ในตอนนี้มาก อาหารการกินและเสื้อผ้าอาภรณ์ดีพร้อมทุกอย่าง และยังมีเงินให้ใช้อีกด้วย ชีวิตที่ดีเช่นนี้จะไปหาได้จากที่ใดอีก
เมื่อได้ยินเสียงพวกบ่าวที่คุยกันอยู่ด้านนอก ซูฉ่ายเวยก็กระตุกยิ้มที่มุมปาก
“เมื่อก่อนคิดว่าสวีจือย่วนเป็นผู้มีสายตาก้าวไกล ไม่นึกว่าจะมีแต่ตาหามีแววไม่ ใครต่างก็รู้ว่าฝ่าบาทคิดอย่างไรต่อหวงกุ้ยเฟย นางกลับจะเข้าไปวุ่นวายให้ได้ สมน้ำหน้าที่โดนตบตี”
เซียงหลานยิ้มและพูดว่า “จริงด้วยเพคะ ไม่เพียงแต่ฝ่าบาทจะไม่ตำหนิหวงกุ้ยเฟย แต่ยังให้พระสนมพักผ่อนอยู่ที่ตำหนักเฉิงเทียนอีกด้วย สวีจือย่วนจะดื้อดึงอย่างไรก็เสียแรงเปล่า หม่อมฉันยังได้ยินอีกว่าวันนั้นพระสนมสวีค้างอยู่ที่ตำหนักเฉิงเทียน และแทบจะต้องเล่นพิณทั้งคืน”
ซูฉ่ายเวยวางแก้วชาลง หัวเราะเหน็บแนมและพูดว่า “ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่ฝ่าบาททรงกระทำจริงๆ”
หลายเดือนก่อน นางก็เคยนั่งคุกเข่าอยู่ที่ตำหนักเฉิงเทียนตลอดทั้งคืน ตอนนั้นฝ่าบาทเอาแต่เค้นถามขันทีน้อยในตำหนักของนาง ต่อมาจึงได้รู้ว่าอินชิงเสวียนคือคนที่ฝ่าบาทตามหา
หลังจากเรื่องนั้น ในวังก็สะพัดข่าวที่นางไปร่วมหลับนอน เดิมทีซูฉ่ายเวยคิดอยากจะปล่อยเลยตามเลยเพื่อยกระดับตำแหน่งของตัวเอง วันนี้นางเพิ่งเข้าใจว่า ของแท้ไม่มีวันปลอมแปลงได้ และของปลอมไม่มีวันเป็นของแท้ได้
เซียงหลานพูดอย่างปลงใจ “ฝ่าบาทของพวกเราไม่เหมือนกับฮ่องเต้องค์ก่อน พระองค์ดีต่อหวงกุ้ยเฟยเพียงคนเดียว ช่างน่าอิจฉาจริงๆ นะเพคะ”
ซูฉ่ายเวยกลอกตามองนางและพูดว่า “มีอะไรให้น่าอิจฉา ผู้ชายก็แค่เรื่องชั่วคราว เงินทองนี่สิที่เป็นความนิรันดร์ ข้าเคยได้ยินว่าฝ่าบาทมีพระประสงค์จะให้โยกย้ายวังหลัง หากเรื่องนี้เป็นความจริง พวกเราต้องรีบกอบโกยเงินทองให้มากในตอนที่ยังมีโอกาส”
ตอนนี้นางเข้าใจอย่างถี่ถ้วนแล้วว่า เมื่อเทียบกับการได้รับความโปรดปรานและต้องสูญเสียมันไป สู้รักษาเนื้อตัวให้สมบูรณ์จะดีเสียกว่า วันไหนหากต้องออกจากวัง ไม่แน่ว่าอาจยังสามารถหาชายหนุ่มรูปงามมีความสามารถครองคู่ไปด้วยกันได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...