ไอเย็นยะเยือกชนิดหนึ่งเล็ดลอดออกมาจากร่างกายของคนชุดดำ ทำให้อินชิงเสวียนชาวาบไปทั้งศีรษะ
นางหยุดฝีเท้าลง กระซิบกับเสี่ยวอานจื่อ “เจ้ากลับตำหนักไปก่อน ปกป้องจ้าวเอ๋อร์ให้ดี”
เสี่ยวอานจื่อไม่ใช่คนโง่ เมื่อเห็นคนผู้นั้นยืนนิ่งอยู่ที่พื้นไม่ไหวติงราวกับภูตผีก็ไม่ปาน เขาก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นในใจแล้ว
“พระสนม...”
ใบหน้าของอินชิงเสวียนมืดลง
“อย่าพูดมาก รีบไปซะ”
เสี่ยวอานจื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกระซิบ “กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง”
คนชุดดำทำราวกับมองไม่เห็นเสี่ยวอานจื่อ ดวงตาทั้งคู่จ้องเขม็งแต่เพียงอินชิงเสวียน
อินชิงเสวียนไม่ได้พูดอะไร จนกระทั่งเสี่ยวอานจื่อหายตัวไป นางจึงประกบมือคำนับพูดว่า “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเข้าวังมาด้วยธุระอันใด”
คนผู้นั้นพูดด้วยน้ำเสียงแหบกระด้าง “ลิ่นเซียวไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง และพิณก็ไม่ได้อยู่กับเขา”
อินชิงเสวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พิณก็ไม่ได้อยู่ที่ผู้เยาว์เช่นกัน ผู้อาวุโสที่เป็นถึงยอดฝีมือผู้ถือสันโดษ คงไม่บีบบังคับผู้เยาว์เพียงเพราะเครื่องดนตรีเพียงชิ้นเดียวกระมัง หากผู้อาวุโสดึงดันต้องการให้แสดงวรยุทธ์ที่แท้จริง ผู้เยาว์ก็พร้อมรับใช้”
สิ่งที่นางพูดนั้นใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ไม่ถ่อมตัวแต่ก็ไม่หยิ่งทะนง
ดวงตาคู่นั้นเปรียบเสมือนวารีในสารทฤดู ที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย
คนชุดดำยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “เจ้ากำลังขู่ข้าหรือ”
“หากผู้อาวุโสยืนกรานที่จะคิดเช่นนั้น ผู้เยาว์ก็ทำอะไรไม่ได้”
ถึงอย่างไรอินชิงเสวียนก็มีทักษะห้าสิบห้าสิบ อย่างมากก็บาดเจ็บด้วยกันทั้งคู่
และยามนี้พิณก็อยู่ในมิติ หากนางไม่เอาออกมา เขาก็ไม่มีวันหาเจอไปตลอดชีวิต
คนชุดดำแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา
“อย่าคิดว่าเจ้าที่แอบเรียนวรยุทธ์งูๆ ปลาๆ แล้วจะสามารถข่มขู่ข้าได้ ในสายตาของข้า สิ่งเจ้าเรียนมาก็เป็นเพียงแค่การหัดเดินของเด็กวัยเตาะแตะเท่านั้น”
“จะหัดเดินก็ดี จะเดินเตาะแตะก็ช่าง ถ้าผู้อาวุโสยืนกรานไม่ยอมไม่ เช่นนั้นเราก็มาลองดูกัน”
พลังที่แลกจากมิติพลุ่งพล่านออกมาจากร่าง เสื้อผ้าของอินชิงเสวียนปลิวไสวโดยที่ไม่มีลมพัดผ่าน เรือนผมสีดำสนิทก็ปลิวสยายเนื่องจากพลังอันแข็งแกร่งที่ปะทุออกมา
ขับเน้นดวงหน้าโสภาให้องอาจผึ่งผาย เต็มไปด้วยพลังอันน่าทึ่ง
แววตาของคนชุดดำสงบ ราวกับไม่มีความตั้งใจที่จะต่อสู้กับอินชิงเสวียน เขาเอ่ยแช่มช้า “อาการบาดเจ็บของเย่จั้น มีเพียงพิณการเวกเท่านั้นที่จะรักษาได้ นอกจากเจ้าอยากนิ่งดูดาย มองดูผู้มีพระคุณของตระกูลอินตายโดยที่ไม่ทำอะไร?”
อินชิงเสวียนตกตะลึงไปชั่วขณะ
“พิณการเวก หมายความว่าอย่างไร”
คนชุดดำพูดด้วยน้ำเสียงสงบ “พิณการเวกหาใช่เครื่องดนตรีธรรมดาไม่ ทำนองเพลงก็ยิ่งไม่ธรรมดา มีพลังในการสังหารและช่วยชีวิตผู้คน หากเจ้าเต็มใจที่จะมอบพิณให้ข้า ข้าก็สามารถช่วยชีวิตเย่จั้นได้”
จู่ๆ อินชิงเสวียนก็นึกถึงทำนองเพลงใจหินผาและเพลงหยกรัตติกาลได้ทันที หรือว่าทั้งสองทำนองเพลงนี้มีต่างก็มีท่าไม้ตายของใครของมัน
แต่เมื่อพิจารณาจากท่วงทำนองที่เนิบช้าผ่อนคลายแล้ว เพลงใจหินผาดูเหมือนจะเหมาะกับการเยียวยารักษามากกว่า
หากตัวเองสามารถบรรเลงได้...
คนชุดดำดูเหมือนจะมองผ่านความคิดของอินชิงเสวียน พูดอย่างเย็นชา “ทางที่ดีเจ้าไม่ควรมักง่ายทดลองเอง พิษที่เย่จั้นได้รับนั้นมาจากกู่กินหัวใจที่ร้ายกาจอย่างยิ่ง หากไม่มีกำลังภายในชั้นสูงช่วยเหลือ ก็ไม่มีทางกำจัดพิษกู่ได้”
กู่กินหัวใจ?
อินชิงเสวียนตกตะลึง ทันใดนั้นก็นึกถึงวัตถุโปร่งใส
ครั้นจึงเงยหน้าถามโดยเร็ว “ถ้าใช้มีดผ่าออกมา ไม่ทราบว่าจะสำเร็จได้หรือไม่”
คนชุดดำตำหนิเสียงเย็น “ไร้สาระ ถ้าใช้มีดผ่าออกมาได้ ยังจะเรียกว่ากู่อีกหรือ กูเป็นสิ่งมีชีวิตที่หล่อเลี้ยงด้วยเลือดเนื้อของมนุษย์ หนอนกู่ระดับสูงสามารถพัฒนาสติปัญญาและรู้วิธีป้องกันตัวเอง เมื่อใดที่ถูกสัมผัสก็จะสลายร่างออกไป ถึงตอนนั้นจะยิ่งกำจัดได้ยากขึ้น”
อินชิงเสวียนรู้สึกสับสนงุนงง
คิดไม่ถึงว่าเจ้าหนอนกู่จะร้ายกาจขนาดนี้
ใครกันแน่ที่เป็นเสกกู่ใส่เย่จั้น
นอกจากนี้นางยังมีข้อกังขาอีกประการหนึ่ง
“เหตุใดผู้อาวุโสจึงรู้เรื่องราวในวังมากเพียงนี้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...