สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 437

เย่‍จิ่ง‍อวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เสด็จอาไม่เคยขอร้องข้าเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยปากขอรร้องข้า แม้ว่าจะมีความยากลำบากและเสี่ยงอันตรายมากมาย ข้าก็จะช่วยเขาเติมเต็มความปรารถนาของเขา เพียงแต่ไม่รู้ว่า...ทำไมเสด็จอาถึงอยากสืบหาหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์”

จู่ๆ อินชิงเสวียนก็นึกถึงอินหลี

หลังจากเล่นดนตรีนางหายตัวไป และตอนนี้มีคนมาขโมยพิณ จึงอดปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้

แต่เมื่อดูท่าทางของเย่‍จิ่ง‍อวี้ ดูเหมือนเขาจะไม่รู้เรื่องนี้เลย

“ฝ่าบาทไม่กลัวว่าจะเป็นการไปก่อกวนสำนักสันโดษหรอกหรือ”

อินชิงเสวียนถามพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมอง

“ข้าย่อมไม่ต้องการไปก่อกวนพวกเขาอยู่แล้ว แต่ข้ายิ่งไม่อยากละอายใจต่อเสด็จอา”

เย่‍จิ่ง‍อวี้หยุดชะงัก และกุมมือเล็กๆ ของอินชิงเสวียนไว้ในฝ่ามือของเขา

“หากวันหนึ่ง เสวียน‍เอ๋อร์ต้องการให้ข้าทำอะไรสักอย่าง แม้ต้องบุกน้ำลุยไฟข้าก็จะยอมทำเพื่อเสวียน‍เอ๋อร์ ถึงตัวตายก็ไม่หวั่น”

เมื่อมองดูดวงตาที่ลึกล้ำราวกับทะเลลึกคู่นั้น อินชิงเสวียนก็รู้สึกเหมือนถูกไฟดูด หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ

นางหลุบตาลง รอยยิ้มก็ระบายออกมาจากมุมริมฝีปากที่เม้มแน่น

“หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”

เมื่อเห็นอินชิงเสวียนยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย หัวใจของเย่‍จิ่ง‍อวี้ก็เต้นรัว เขาโอบแขนรอบเอวของนาง

อินชิงเสวียนดูคล้ายจะตกใจ เงยใบหน้าขาวราวกับหยกขึ้น

ริมฝีปากของเย่‍จิ่ง‍อวี้ทาบทับลงมาทันที

ลมหายใจอุ่นเข้าครอบครองประสาทสัมผัสของอินชิงเสวียนโดยเร็ว ออกซิเจนทั้งหมดในสมองของนางดูเหมือนจะถูกปล้นไปชั่วขณะหนึ่ง ทำให้นางหายใจไม่ออก

นางคว้าเสื้อของเย่‍จิ่ง‍อวี้ อย่างทำอะไรไม่ถูก

เนิ่นนาน ครั้นแล้วริมฝีปากก็แยกออก

อินชิงเสวียนหายใจหอบเบาๆ ก้มหน้าก้มตาอย่างเขินอาย

เมื่อมองดูใบหน้าเล็กๆ ที่เป็นสีชมพูนี้ เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็แทบจะไม่สามารถระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านได้ เขาแทบอยากจะกดตัวอินชิงเสวียนไว้ใต้ร่างเสียเดี๋ยวนั้น แสดงความรักและความเสน่หาที่มีต่อนาง

อย่างไรก็ตาม เขายังมีงานที่ต้องสะสางอยู่

เขาส่งอินชิงเสวียนกลับไปที่ตำหนักจินหวู และกลับไปที่ห้องหนังสืออย่างรวดเร็ว

เสียงดีดนิ้วดังขึ้น เจวี๋ยอิ่งก็เหาะลงมาทันที

“ฝ่าบาท”

เย่‍จิ่ง‍อวี้พูดเสียงเรียบ “ส่งคนไปสืบเสาะหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ อีกอย่าง ส่งคนไปจับตาดูเย่จิ่งหลานไว้ด้วย ข้ามักจะรู้สึกว่าเขาดูแปลกชอบกล”

เจวี๋ยอิ่งกล่าวอย่างนอบน้อม “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”

เย่‍จิ่ง‍อวี้พยักหน้าแล้วถามว่า “ทางด้านช่องผาแคบมีข่าวอะไรหรือไม่”

“ไม่มี ตอนนี้พื้นที่ค้นหาได้ขยายออกไปเป็นรัศมีหลายร้อยลี้แล้ว...”

เจวี๋ยอิ่งพูดถึงตรงนี้แล้วก็หยุดครู่หนึ่ง

“ตามรายงานขององครักษ์เงา พวกเขาพบหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆ ที่นั่นมีผู้เสียชีวิตหลายสิบราย เหลือรอดเพียงสตรีคนเดียวที่ยังหายใจอยู่ กระหม่อมสั่งให้คนพาสตรีคนนั้นมาทำการรักษาที่เมืองหลวง ไม่รู้ว่านางมีส่วนเกี่ยวข้องกับอา‍ซือ‍หลานหรือไม่ หรืออาจมีนักโทษคนสำคัญคนอื่นอีก”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ได้ยินสิ่งนี้ก็ขมวดคิ้ว

“มีคนถูกฆ่าตายไปหลายสิบคนหรือ”

เจวี๋ยอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “พ่ะย่ะค่ะ ไม่มีใครรอด สตรีคนนั้นก็ถูกกระบี่แทงเข้าที่หน้าอก จะสามารถช่วยชีวิตได้หรือไม่ก็ยังไม่ทราบ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ

“ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม คดีนี้ต้องถูกสอบสวนให้ถึงที่สุด ให้เจ้าเป็นผู้ดูแลการสอบสวนด้วยตัวเอง ต้องช่วยสตรีคนนั้น และนำตัวฆาตกรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ได้”

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”

เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและทูลลากลับไป

เย่‍จิ่ง‍อวี้ตกอยู่ในห้วงความคิดอันลึกซึ้ง

ที่เขาสืบเสาะหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เพียงเพราะเสด็จอาสิบสาม ตัวเขาเองรู้สึกคุ้นเคยอย่างอธิบายไม่ได้กับชื่อนี้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์