สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 438

สรุปบท บทที่ 438 เย่จิ่งหลานออกจากวัง: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์

ตอน บทที่ 438 เย่จิ่งหลานออกจากวัง จาก สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 438 เย่จิ่งหลานออกจากวัง คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายโรแมนติก สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ ที่เขียนโดย GoodNovel เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

เมื่อเย่‍จิ่ง‍อวี้เข้ามา เห็นอินชิงเสวียนกำลังอ่านหนังสือภายใต้แสงเทียน ท่าทางดูจริงจังยิ่งนัก

เพื่อไม่ให้อินชิงเสวียนตกใจ เขากระแอมไอเบาๆ

อินชิงเสวียนเงยหน้าที่ขอบตาแดงก่ำขึ้น ก็เห็นเย่‍จิ่ง‍อวี้ที่กำลังยืนอยู่หน้าประตู

พอหันไปมองเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงดูอีกที เห็นเขากัดกำปั้นเผลอหลับไปแล้ว

“อ่านอะไรอยู่ เพลินขนาดนั้นเลยรึ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้เดินไปที่เตียง และก้มลงดู

อินชิงเสวียนขยี้ตาเบาๆ

“เป็นตำราเลี้ยงลูก ซื้อมาจากพ่อค้าก่อนที่จะออกเรือนเพคะ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้หยิบหนังสือขึ้นมาและถามอย่างสงสัย “สิ่งนี้ทำมาจากอะไร”

ตอนที่อินชิงเสวียนยังเป็นขันทีน้อย เขาสนใจใคร่รู้เจ้าสิ่งที่สามารถบันทึกตัวอักษรเหล่านี้ได้

การใช้สิ่งของประเภทนี้จดบันทึกเหตุการณ์น่าจะสะดวกกว่าม้วนไม้ไผ่มากนัก ม้วนใบไผ่อาจดูใหญ่ แต่จริงๆ แล้วไม่สามารถจดจารตัวอักษรได้มากนัก

แต่ตำราเล่มเล็กๆ นี้กลับสามารถบันทึกตัวอักษรได้หลายพันคำ ทั้งยังพกพาสะดวก เย่‍จิ่ง‍อวี้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น

อินชิงเสวียนครุ่นคิดครู่พักหนึ่ง แล้วพูดว่า “จริงๆ แล้วก็ไม่ยุ่งยากเพคะ ขั้นแรกต้มเปลือกไม้ต้นป่านให้กลายเป็นเยื่อกระดาษ ทิ้งให้เย็น วางบนม่านไม้ไผ่ รีดน้ำออก แล้วนำไปอบในเตา ก็จะกลายเป็นกระดาษได้แล้ว”

นางเรียนรู้สิ่งเหล่านี้เมื่อตอนที่อยู่ในโรงเรียน อินชิงเสวียนจึงพอจะจำได้คร่าวๆ คาดว่าน่าจะมีขั้นตอนประมาณนี้

วิธีที่แน่ชัดจะทำอย่างไรนั้น นางก็ไม่รู้แน่ชัด ถึงอย่างไรในยุคปัจจุบันสามารถซื้อสมุดบันทึกเล่มใหญ่ได้ด้วยเงินไม่เท่าไหร่ จึงไม่มีใครว่างพอที่จะผลิตของสิ่งนี้ด้วยตัวเอง

เย่‍จิ่ง‍อวี้สนใจเรื่องนี้มาก

“ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ”

อินชิงเสวียนตอบรับเบาๆ และพูดว่า “คิดว่าใช่เพคะ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้กล่าวอย่างกระตือรือร้น “เช่นนี้แล้ว ข้าจะให้กรมโยธาลองทำดูในวันพรุ่งนี้ เรื่องสถาบันการทหารที่เสวียน‍เอ๋อร์พูดถึง ข้าก็กำลังพิจารณาอยู่ เมื่อเสด็จอาอาการดีขึ้น ข้าจะเชิญจอมพลเฒ่ากวนเข้าวัง ให้เขาดูแลด้วยตัวเอง”

“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับฝ่าบาท”

หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบ ก็พูดเสริมอีกประโยคหนึ่ง

“เสด็จอาเป็นผู้มีวรยุทธ์ ต้องฟื้นตัวได้เร็วกว่าคนทั่วไปแน่”

การใช้น้ำพุวิญญาณในการปรุงอาหารมากขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา จะช่วยให้อาการของเย่จั้นดีขึ้นเป็นเท่าตัว เมื่ออาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้น ค่อยให้เขาแช่ตัวในน้ำพุวิญญาณ ซึ่งนี่ก็นับว่าเป็นการชดเชยให้เขา

“อืม ข้าเห็นว่าวันนี้เสด็จอามีสีหน้าดูดีขึ้นมาก แต่ไม่รู้ว่าเย่จิ่งหลานวินิจฉัยการรักษาอย่างไร ทำไมเขาจึงต้องทำการผ่าตัดเสด็จอาด้วย”

“เรื่องนี้...”

อินชิงเสวียนหัวเราะแห้งๆ และพูดว่า “หม่อมฉันก็ไม่เคยเห็นวิธีรักษาของฝูอี้อ๋องมาก่อน แต่ได้ผลกับฝ่าบาทและจอมพลเฒ่ากวนจริงๆ เพียงไม่คาดคิดว่าท่านอ๋องจะถูกพิษกู่”

แล้วนางก็เล่าเรื่องที่ทั้งสองคนเจอตัวกู่ให้เย่‍จิ่ง‍อวี้รู้

เมื่อรู้ว่าสิ่งนี้สามารถสลายร่างได้ เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

“สิ่งนี้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวขนาดนี้เชียว ถ้าอาซือหลานยังไม่ตายจริงๆ หากคราวหน้าได้พบกันอีก ต้องระมัดระวังตัวจากเขาให้ดี”

อินชิงเสวียนเชื่อตามนั้นจริงๆ

“อันที่จริง หากเขาโชคดีพอที่จะมีชีวิตรอดได้ ก็จะมีภัยพิบัติเป็นผลพวงตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

เย่‍จิ่ง‍อวี้คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ในเมื่อเขายังไม่ตาย เขาคงไม่มาที่เมืองหลวงอีก ทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้กัน เจียงวูต้องมีสายลับแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ถ้าเขารู้ว่าพ่อของเจ้ากำลังจะไปถึงเจียงวู เขาจะต้องรีบกลับไปโดยเร็วที่สุดแน่นอน เพื่อหารือถึงมาตรการตอบโต้”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ จู่ๆ อินชิงเสวียนก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี

อินจ้งคงไม่ต้องเผชิญหน้ากับอา‍ซือ‍หลานหรอกนะ

คนผู้นี้มีวรยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม เจ้าเล่ห์เพทุบาย นอกจากนี้เขายังถือไพ่ตายที่มีหน้ากากของอินสิงอวิ๋นอยู่ด้วย หากตระกูลอินต้องการเอาชนะ เกรงว่าคงไม่ง่าย

เย่‍จิ่ง‍อวี้กลับรู้สึกวางใจในตัวอินจ้งมาก เมื่อเห็นว่าอินชิงเสวียนไม่พูด เขาก็ยิ้มปลอบใจว่า “คราวนี้มีดินปืนช่วยสนับสนุน ทั้งยังมีกองทัพตระกูลกวนและค่ายกลโล่กำแพง เราจะประสบความสำเร็จได้แน่ เสวียนเอ๋อร์ไม่ต้องกังวล”

อินชิงเสวียนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

“หวังว่าอย่างนั้น”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ถอดเสื้อคลุมตัวนอกของเขาออกแล้ว อินชิงเสวียนก็รับไว้และนำไปพาดไว้บนหลังเก้าอี้โดยอัตโนมัติ

จากนั้นก็เรียกหลี่เต๋อฝูเข้ามาหา และเดินทางไปยังสำนักหมอหลวง

อินชิงเสวียนยังให้เสี่ยวอานจื่อส่งน้ำแกงซี่โครงหมูตุ๋นเก๋ากี้ไปด้วย

เดิมทีนางต้องการไปเยี่ยมเย่จั้นด้วยตนเอง แต่พอได้ยินจากเสี่ยวอานจื่อว่าเย่จิ่งหลานกำลังจะเข้าไปอยู่จวนวันนี้ นางก็เปลี่ยนเส้นทาง

นี่เป็นเพื่อนร่วมยุคสมัยเพียงคนเดียวของนาง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไปส่งเขา

จากนั้นก็พาอวิ๋นฉ่าย และเข็นรถเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงไปที่ตำหนักฉู่เย่ว์

เย่จิ่งหลานเดินออกจากตำหนักมาพอดี ด้านหลังมีขันทีติดตามอยู่หลายคน ต่างแบกหามหีบห่อสัมภาระอยู่เบื้องหลัง

เมื่อมองแวบแรกก็รู้สึกอ้างว้างอย่างอธิบายไม่ได้

หรือว่าท่านอ๋องในแต่ละรัชสมัยต้องออกจากวังกันไปเช่นนั้นงั้นหรือ

“ถวายพระพรหวงกุ้ยเฟย”

เย่จิ่งหลานก้าวไปข้างหน้าและโค้งคำนับ เสียงของเขาเต็มไปด้วยความยินดี

ดูเหมือนว่าเขาจะทนอยู่ในวังมานานมากจนเบื่อแล้วจริงๆ

“ฝูอี้อ๋องโปรดลุกขึ้นเถิดเจ้า...จะไปแล้วหรือ”

เย่จิ่งหลานพยักหน้า พูดด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม “สิ่งของที่ต้องเก็บไปด้วยก็เก็บมามากพอควรแล้ว ถึงเวลาที่ข้าจะต้องออกจากวังแล้ว ทางด้านอันไท่ผินก็ขอรบกวนให้หวงกุ้ยเฟยช่วยดูแลนางด้วย หากเผชิญโรคร้ายที่รักษาไม่หาย หวงกุ้ยเฟยสามารถส่งคนออกจากวังไปตามข้าได้ ข้าจะมาโดยเร็วที่สุด”

อันไท่ผินเดินออกจากตำหนัก ดวงตาของนางแดงก่ำจากการร้องไห้

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่จิ่งหลาน นางอันก็รู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งขึ้น

ไม่ว่าเขาจะพบความลับอะไรก็ตาม ถึงกระนั้นเขาก็ยังเป็นห่วงตัวเองอยู่

อินชิงเสวียนเหลือบมองอันไท่ผิน พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋องไม่ต้องเป็นกังวล เกรงว่าภายหน้ายังต้องรบกวนเจ้าอีก”

“ตราบใดที่เป็นเรื่องของเจ้า ข้าจะช่วยแน่นอน ต้องขอบคุณมา ณ ที่นี้”

เย่จิ่งหลานโค้งคำนับ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์