เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ผู้ที่หายตัวไปมีแต่คนชรางั้นหรือ?”
เจวี๋ยอิ่งพูดด้วยความเคารพ “เป็นจริงดังนั้นพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้มีรายงานว่ามีหกเจ็ดคนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งอวี้พูดเสียงเรียบว่า “อาจเดินพลัดหลงไป ติดตามดูแนวโน้มของฝ่ายราชการ และหาข้อสรุปที่แน่นอน”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา”
เมื่อเจวี๋ยอิ่งออกไปแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็อ่านสาส์นกราบทูลต่อ และไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก
ตอนนี้ปัญหาเรื่องอาหารได้แก้ไขไปมากกว่าครึ่งแล้ว การถ่ายเทน้ำก็บรรลุผลเบื้องต้นแล้วเช่นกัน ภัยตั๊กแตนและโรคระบาดก็แทบจะหมดสิ้นไปแล้ว สิ่งสำคัญในตอนนี้เหลือเพียงแค่ในเจียงวูและเมืองซุ่ยหาน
บาดแผลของเย่จั้นก็ฟื้นฟูขึ้นแล้ว อีกไม่กี่วันก็สามารถกลับเมืองซุ่ยหานได้ ขอเพียงอินจ้งสามารถระงับความวุ่นวายทางนั้นได้อย่างราบรื่น ต้าโจวก็จะสงบสุข
ผู้ส่งสารออกจากเมืองหลวงได้เจ็ดแปดวันแล้ว อินจ้งน่าจะได้รับข่าวที่อินสิงอวิ๋นได้รับพิษกู่เข้าสู่ร่างกายแล้ว หวังว่าเขาจะสามารถระมัดระวังและป้องกันไม่ให้ปัญหาอื่นๆ เกิดขึ้นได้
เย่จิ่งอวี้คิดอยู่ในใจ แต่มือยังคงไม่หยุดทำงาน เขาอ่านสาส์นกราบทูลทีละฉบับจนหมด เมื่อรู้สึกตัวอีกที เวลาก็จวนเที่ยงคืนแล้ว
หลี่เต๋อฝูงีบหลับอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้ลุกขึ้นยืน เขาก็ตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ฝ่าบาท พระองค์จะบรรทมที่นี่ หรือไปตำหนักจินหวูพ่ะย่ะค่ะ”
เขาไม่ได้พบอินชิงเสวียนมาหนึ่งวันแล้ว ไม่รู้ว่านางอยู่ที่สำนักศึกษาหลวงเป็นอย่างไรบ้าง?
แม้ฟ้าจะมืดแล้ว แต่เย่จิ่งอวี้ก็อยากไปหาสาวน้อยเสียหน่อย
“ไปที่ตำหนักจินหวูเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เต๋อฝูรีบจุดโคมไฟ และพาขันทีสองสามคนเดินนำทางอยู่ด้านหน้า เมื่อมาถึงถนนหินเขียวที่มุ่งหน้าไปสู่ตำหนักจินหวู จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องเพลงที่เลือนราง
หลี่เต๋อฝูชะงักฝีเท้าลง และรู้สึกกลัวมาก
“ฝ่าบาท...”
สายตาของเย่จิ่งอวี้นิ่งเล็กน้อย
“ทหาร ไปตรวจดูสิ ผู้ใดมาร้องเพลงกลางดึกเช่นนี้?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ทหารองครักษ์สองนายตามเสียงเพลงไปทันที พวกเขารู้สึกกลัวอย่างมาก แต่ไม่อาจขัดพระประสงค์ของฮ่องเต้ได้
เมื่อเดินตามเสียงมาถึงวังเย็น เสียงนั้นก็ยิ่งชัดเจนและแหบแห้งมากขึ้น ทั้งสองมองหน้ากัน และต่างก็โล่งใจ
ที่แท้ก็เป็นเสียงของนางสนมที่ถูกส่งเข้าวังเย็น คิดว่าผีหลอกเสียอีก
ทั้งสองรีบกลับไปรายงานทันที เมื่อรู้ว่าสวีจือย่วนเป็นผู้ร้องเพลงกลางดึก สีหน้าของเย่จิ่งอวี้ก็เคร่งขรึมขึ้น
“ไปที่วังเย็นเดี๋ยวนี้ หากสวีจือย่วนยังกล้ารบกวนความสงบของผู้อื่นอีก ให้นางรับโทษตัดลิ้นเสีย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ทหารองครักษ์สองนายกลับไปที่วังเย็นอีกครั้ง และเปิดประตูใหญ่ของวังเย็น
เสียงราวกับฟันกระทบกันดังขึ้นที่หน้าประตู สวีจือย่วนดวงตาเป็นประกาย รุดฝีเท้ามาด้านหน้าประตูตำหนักอย่างรวดเร็ว
“ฝ่าบาท!”
เมื่อเปิดประตูออกก็พบทหารองครักษ์สองนาย และถามขึ้นด้วยแววตาแห่งความหวังในทันที “พี่ทหารทั้งสอง ฝ่าบาทต้องการพบข้างั้นหรือ?”
ทหารองครักษ์พูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ฝ่าบาทมีคำสั่งว่า หากยังกล้าร้องเพลงกลางดึกอีก จะให้ตัดลิ้นของท่านทิ้งเสีย”
สวีจือย่วนสีหน้าซีดขาว
“ฝ่าบาท... ทรงตรัสเช่นนั้นจริงหรือ?”
ทหารองครักษ์อีกนายพูดด้วยความเยือกเย็น “ท่านถูกส่งตัวเข้าวังเย็นแล้ว อย่าได้คิดเพ้อฝันจะได้รับความโปรดปรานอีกเลย ตอนนี้ฝ่าบาทรักแค่เพียงอินกุ้ยเฟยเท่านั้น หากยังกล้าคิดเพ้อเจ้อ ระวังชีวิตของตัวเองไว้ด้วย”
เมื่อทั้งสองพูดจบก็ปิดประตูตำหนักลง
ขาสองข้างของสวีจือย่วนอ่อนแรงลง นั่งพรวดลงบนพื้น สายตาเต็มไปด้วยความเกลียดแค้น
เย่จิ่งอวี้ เจ้าช่างใจร้ายเหลือเกิน!
อินชิงเสวียน หากมีวันใดที่ข้าได้ออกไปจากวังเย็น จะทำให้เจ้าตายไปแล้วหาที่ฝังศพมิได้!
ในตำหนักจินหวู อินชิงเสวียนจามขึ้นมาหนึ่งที
ยามค่ำคืนของฤดูใบไม้ร่วงมีอากาศเย็นบ้างเล็กน้อย อวิ๋นฉ่ายจึงรีบหยิบเสื้อนอกคลุมให้นาง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...