เสียงศักดิ์สิทธิ์?
หรือว่าเป็นหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์?
อินชิงเสวียนมองหยกชิ้นนี้ด้วยสีหน้าประหลาดใจ
หากเป็นของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เหตุใดจึงปรากฏอยู่ที่ตำหนักจินหวู?
คนที่ขโมยพิณไปไม่ได้เข้ามาในตำหนัก อีกทั้งหยกชิ้นนี้มีฝุ่นเกาะเต็มไปหมด อย่างน้อยก็ต้องตกอยู่ที่นี่เป็นปีแล้ว ไม่มีทางเป็นของของนาง...
“กำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ?”
เสียงของเย่จิ่งอวี้ดังขึ้นที่ข้างหู อินชิงเสวียนได้สติกลับมาทันที
“ฝ่าบาทมาถึงเมื่อไรเพคะ?”
เย่จิ่งอวี้ยิ้มจางๆ
“ข้าเพิ่งมา เสวียนเอ๋อร์มีเรื่องไม่สบายใจหรือไม่?”
อินชิงเสวียนชูหยกในมือขึ้นมา
“ข้าพบสิ่งนี้เพคะ”
เย่จิ่งอวี้รับหยกมา เมื่อพลิกดูแล้ว คิ้วคมก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย
“เสียงศักดิ์สิทธิ์? หรือว่าเป็นหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์?”
อินชิงเสวียนพูดว่า “นอกจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ยังมีสถานที่อื่นชื่อว่าเสียงศักดิ์สิทธิ์อีกหรือไม่เพคะ?”
เย่จิ่งอวี้ส่ายหน้า
“นิกายต่างๆ ในยุทธภพ ข้ารู้จักไม่มากนัก แต่สิ่งเดียวที่ข้ายืนยันได้ก็คือ นิกายจะไม่มีชื่อที่คล้ายกันอย่างแน่นอน”
อินชิงเสวียนถามอีกว่า “หากเป็นหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เช่นนั้นสิ่งที่ถือเป็นหลักฐานยืนยันตัวตนของพวกเขาอยู่ในตำหนักได้อย่างไร หรือว่าสาวรับใช้ของหวนไท่เฟยเป็นคนของนิกายนี้? ตำหนักจินหวูมีคนสกุลเซียวหรือไม่?”
“ไม่มีนะ”
ต่อให้มีอยู่จริง เย่จิ่งอวี้ก็ไม่อาจรู้ได้ ด้วยสถานะของเขา ไม่มีทางไปสนใจเรื่องนามสกุลของบ่าวไพร่เล็กๆ ได้แน่นอน
ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงฮวาเชียน
ไทเฮาเคยเห็นว่านางมีวิชาการต่อสู้ และเคยเห็นว่านางออกไปนอกวังกับตาของตัวเอง หากว่าบ่าวไพร่ในตำหนักจินหวูมีสายลับอยู่จริง เช่นนั้นต้องเป็นนางอย่างแน่นอน
ไม่แน่ว่า ฮวาเชียนก็คือคนของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์
และนึกได้ว่าเสด็จแม่อาจตายด้วยน้ำมือของนาง แววตาของเย่จิ่งอวี้เยือกเย็นขึ้นในทันใด
เขาจับที่วางแขนบนเก้าอี้ไว้แน่น พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ดูท่าทางว่าข้าต้องไปตรวจสอบดูเสียหน่อยแล้ว”
อินชิงเสวียนรีบพูดว่า “เรื่องนี้อาจมีความลับอื่นซ่อนไว้อยู่ ฝ่าบาทอย่าได้ร้อนใจจนเกิดเป็นเรื่องใหญ่นะเพคะ”
เย่จิ่งอวี้พยักหน้า
“เสวียนเอ๋อร์วางใจเถอะ เรื่องนี้ผ่านมานานมากแล้ว ข้ายังไม่รีบร้อนจัดการตอนนี้หรอก”
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเย่จิ่งอวี้ผ่อนคลายลงแล้ว อินชิงเสวียนจึงวางใจลง
“ฝ่าบาทเสวยอาหารเย็นหรือยังเพคะ?”
เย่จิ่งอวี้อมยิ้มและมองไปที่นาง พูดขึ้นด้วยเสียงที่อ่อนโยน “ข้ากินเรียบร้อยแล้ว หากเสวียนเอ๋อร์ไม่มีธุระอะไร ข้าจะสอนกระบวนท่าการต่อสู้ให้แก่เจ้า”
“ฝ่าบาทไม่เหนื่อยหรือเพคะ?”
ท้ังสองเรียนวิชาความรู้และฝึกการต่อสู้ตลอดสองวันนี้ เย่จิ่งอวี้จึงได้นอนหลับเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น
“การได้อยู่กับเสวียนเอ๋อร์ ข้าไม่เคยเหนื่อยเลย”
ความจริงแล้ว ความรักเป็นเรื่องที่เรียบง่าย ไม่ต้องร้องขอ และไม่จำเป็นต้องมีจุดประสงค์ใดๆ ตราบใดที่ได้เห็นคนที่เรารัก เราจะรู้สึกมีความสุขอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในหัวใจ
เมื่อเห็นดวงตาที่แฝงไปด้วยความเหนื่อยล้าคู่นั้น อินชิงเสวียนจึงพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “เช่นนั้นวันนี้พวกเราเรียนเพียงครู่เดียวก็พอเพคะ ฝ่าบาทไม่ได้นอนหลับมาหลายวันแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะทรงประชวรได้นะเพคะ”
“เสวียนเอ๋อร์เป็นห่วงข้าหรือ?”
เย่จิ่งอวี้โอบเอวเพรียวบางของอินชิงเสวียนเอาไว้ พร้อมสายตาที่ดูคลุมเครือ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...