สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 522

แววตาของเย่‍จิ่ง‍อวี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย เรียวตาหงส์กระจ่างชัดขึ้นหลายส่วน

จูอวี้เหยียนกระตุ้นหนอนกู่อีกครั้ง ครั้oแล้วเสียงหวานที่มีเสน่ห์ก็น่าหลงใหลมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อประกอบกับรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นของนาง และอากัปกิริยาก็ยิ่งน่าวาบหวามใจ

เย่‍จิ่ง‍อวี้ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จึงหันกลับมาถาม “เจ้าอยากให้ข้าทำอย่างไร”

จูอวี้เหยียนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “กุ้ยเฟยมีสถานะสูงส่ง เหยียนหงย่อมไม่กล้าให้ฝ่าบาทลงโทษพระสนมอยู่แล้ว ได้ยินมาว่าในวังหลวงมีหอสวดมนต์ เหตุใดฝ่าบาทไม่ให้กุ้ยเฟยไปสวดมนต์สิบวัน เพื่อจะได้สงบสติอารมณ์”

นางรู้ว่าเย่‍จิ่ง‍อวี้มีความรู้สึกลึกซึ้งต่ออินชิงเสวียน การที่จะทำให้เขาส่งอินชิงเสวียนเข้าวังเย็น หรือประหารชีวิตนาง ต้องค่อยเป็นค่อยไป

รอจนกระทั่งเย่‍จิ่ง‍อวี้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของนางโดยสมบูรณ์เท่านั้น จึงจะสามารถทำทุกอย่างที่นางต้องการได้

เย่‍จิ่ง‍อวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ให้สงบสติอารมณ์สักพักหนึ่งก็ดี หลี่เต๋อฝู เจ้าไปถ่ายทอดคำสั่งให้กุ้ยเฟยอยู่ในหอสวดมนต์เป็นเวลาสิบวัน เหยียนหง เจ้าก็ออกไปได้แล้ว”

จูอวี้เหยียนก็รู้จักการรามือเมื่อได้สิ่งที่พอใจ นางโค้งคำนับพูดว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท หม่อมฉันขอทูลลาเพคะ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้เดินกลับไปที่โต๊ะ และหยิบพู่กันขนหมาป่าขึ้นมา

เมื่อเห็นว่าเขาขยันแค่ไหน จูอวี้เหยียนก็อดชื่นชมเขาเสียมิได้

ไม่ว่าจะมองมุมใด เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็เป็นฮ่องเต้ที่ดี

น่าเสียดายที่ต้าโจวไม่ได้เป็นที่ของนาง นางกับอา‍ซือ‍หลาน ถึงจะเป็นพรรคพวกกันอย่างแท้จริง

หลังจากที่จูอวี้เหยียนจากไป หลี่เต๋อฝูก็ยังคงยืนอยู่ข้างโต๊ะ เขาชั่งใจก่อนจะถามว่า “ฝ่าบาท ประสงค์จะถ่ายทอดคำสั่งนี้จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้เหลือบมองเขาอย่างเย็นชา หลี่เต๋อฝูหดคอทันที

“กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้”

หลังจากออกจากห้องหนังสือ หลี่เต๋อฝูก็หมดคำจะพูดอยู่ชั่วขณะ

เขาคิดในใจว่า ฝ่าบาทถูกมนต์ดำ หรือถูกวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิงกันนะ ทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน

ในอดีตเขามีความสัมพันธ์อันดีกับพระสนมอิน เห็นทั้งสองยิ้มหัวเราะไปด้วยกัน ตัวเองก็พลอยมีความสุขไปด้วย แต่นับตั้งแต่การมาถึงของเหล่านางแม่มดในเจียงวู ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

ความรู้สึกของฝ่าบาทที่มีต่อพระสนมอินนั้นประเดี๋ยวก็อบอุ่นประเดี๋ยวก็เย็นชา ยากที่จะคาดเดาความคิดได้จริงๆ

เมื่อคิดถึงอดีตที่ผ่านมา หลี่เต๋อฝูก็ทอดถอนใจ

แต่เขาจะทำอะไรได้ เขาเป็นแค่บ่าวไพร่ นอกจากฟังคำสั่งแล้วก็ไม่กล้าออกความเห็นอะไรด้วยซ้ำ เวลานี้แม้แต่การโน้มน้าวใจยังไม่กล้า

หลังจากเดินอย่างเชื่องช้า ในที่สุดก็มาถึงตำหนักจินหวู

อินชิงเสวียนกำลังหยอกล้อกับเสี่ยว‍หนาน‍เฟิง สองวันมานี้เจ้าเด็กจ้ำม่ำสามารถพูดได้หลายคำแล้ว แม้ว่าจะออกเสียงไม่ถูกต้องอยู่บ้าง แต่เขาก็ช่างพูดมาก เสียงใสแจ๋วของเด็กนั้นน่าเอ็นดูยิ่งนัก ดวงตาคู่โตดำเป็นประกาย ศีรษะโตๆ นั้นยิ่งสุดแสนน่ารัก

เดิมทีอินชิงเสวียนก็ชอบเด็กอยู่แล้ว แม้ว่าเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงจะไม่ถือว่าเป็นลูกชายที่แท้จริงของนาง แต่เขามีความสัมพันธ์ทางสายเลือดโดยตรงกับร่างกายนี้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาอยู่ด้วยกันมาหลายเดือนแล้ว มีความรู้สึกรักผูกพันเหมือนแม่ลูกแท้ๆ นานแล้ว

อีกทั้งนางก็ไม่ใช่พวกชอบดันทุรัง ถึงอย่างไรบางสิ่งถึงคิดจนสมองแตกก็ไม่สามารถแก้ไขได้ แม้แต่ตอนเล่นหมากรุก ก็ต้องค่อยๆ ก้าวไปก้าว ไม่มีใครสามารถชนะการต่อสู้ได้ตั้งแต่แรกเริ่มได้ นางก็เลยผ่อนคลายอารมณ์เสีย และใช้เวลาเล่นกับลูกชายดีกว่า

เนื่องจากได้ดื่มน้ำพุวิญญาณ ร่างกายของเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงจึงแข็งแรงกว่าเด็กทั่วไป สองวันนี้ไม่สามารถอยู่ในรถเข็นเด็กทารกได้แล้ว อินชิงเสวียนจึงแลกรองเท้าพื้นนุ่มให้เขา เพื่อฝึกเดินในรถหัดเดิน

ไป๋เสวี่ยเฝ้าติดตามอารักขาเจ้านายตัวน้อยอย่างแข็งขัน ราวกับผู้ช่วยดูแลเด็กมือดี

ขณะที่กำลังเล่นอย่างมีความสุขอยู่นั้น ก็ได้ยินเสี่ยวอานจื่อตะโกน “อาจารย์ เหตุใดท่านจึงมาที่นี่”

หลี่เต๋อฝูถอนหายใจ เดินลากเท้าอันหนักอึ้งไปหาอินชิงเสวียน โค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถวายพระพรกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ”

อินชิงเสวียนยังคงให้เคารพหลี่เต๋อฝูเป็นอย่างมาก

แม้ว่าขันทีเฒ่านี้จะเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยมอยู่บ้าง แต่เขาก็ทำเพื่อเย่‍จิ่ง‍อวี้อย่างจริงใจ ยิ่งเมื่อเห็นเขาอายุขนาดนี้แล้ว อินชิงเสวียนก็ทนไม่ได้ที่จะให้เขาคำนับตัวเอง นางจึงรีบลุกขึ้นยืน

“หลี่กงกงตามสบาย ไม่ทราบว่าลี่กงกงมาที่นี่ ด้วยเรื่องอันใด”

ปกติหลี่เต๋อฝูมักจะอยู่ข้างกายเย่‍จิ่ง‍อวี้ หากไม่ใช่เรื่องสำคัญเขาจะไม่มาด้วยตนเอง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์