อินชิงเสวียนกินเนื้อเสียบไม้ย่างหอมๆ และดื่มชามะลิที่นางชื่นชอบ
จูอวี้เหยียนหิวมากจนท้องร้องโครกคราก เมื่อเห็นอินชิงเสวียนเพลิดเพลินกับอาหาร ก็แทบตบะแตก
ชั่วพริบตาก็ถึงยามดึกแล้ว
อินชิงเสวียนเห็นใจที่หมัวมัวเฒ่าอายุจนปูนนี้แล้ว จึงเปลี่ยนคนมาแทน
จูอวี้เหยียนเดินจนปวดขา ง่วงก็ง่วง หมัวมัวเฒ่าถือไม้บรรทัด แล้วชี้ไปที่เอวของนาง
“ตั้งใจหน่อย”
จูอวี้เหยียนอดไม่ได้ที่จะจ้องมองนางด้วยสายตาดุร้าย
บนเก้าอี้ตัวยาว อินชิงเสวียนเลิกคิ้วขึ้น
“ไม่ยอมหรือ”
จูอวี้เหยียนกัดริมฝีปาก กลืนคำพูดลงไป
เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ท้องฟ้าก็กลายเป็นสีขาวมุก
อินชิงเสวียนหาว เปลี่ยนอิริยาบถ แล้วพูดว่า “วันนี้พอเท่านี้เถอะ นายหญิงเหยียน เจ้ากลับไปได้แล้ว”
ดวงตาของจูอวี้เหยียนกลายเป็นสีแดง เลือดเกือบจะพุ่งออกมา
นางโค้งคำนับอย่างไม่เต็มใจ แล้วออกจากตำหนักจินหวู
อินชิงเสวียนให้หมัวมัวเฒ่ากลับไปพักผ่อน จากนั้นนางก็เข้าไปในมิติ
หลังจากแช่น้ำพุวิญญาณแล้ว ก็รู้สึกสดชื่น ความเหนื่อยล้าที่อดนอนทั้งคืนก็หายไป
นางตรวจสอบเวลา แล้วอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงออกจากวัง
หลังจากที่เมื่อวานทรมานจูอวี้เหยียนมาทั้งคืน อาจทำให้หมาจนตรอกได้ ฉะนั้นพาลูกออกมาด้วยจะปลอดภัยกว่า
อินชิงเสวียนไม่ได้พาองครักษ์มาด้วย นางและเสี่ยวหนานเฟิงสามารถเข้าไปในพื้นที่ได้ทั้งคู่ ดังนั้นจึงไม่สะดวกที่จะมีคนอื่นอยู่ด้วย
สิบห้านาทีต่อมา ทั้งคู่ก็มาถึงจวนจิ้งอ๋อง
เมื่อคนเฝ้าประตูเห็นว่าเป็นกุ้ยเฟย จึงรีบเข้าไปรายงานทันที
มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น เย่จั้นก็เดินออกมารับ
“กุ้ยเฟย”
อินชิงเสวียนกล่าวว่า “ท่านอ๋องไม่ต้องมากพิธี คืนนี้ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง”
“หลังจากเสวยยาของกุ้ยเฟยแล้ว ฝ่าบาทก็หลับสบาย ตอนนี้หลับอยู่เลย”
เสียงของเย่จั้นดูเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย ราวกับว่าเขาไม่ได้นอนทั้งคืน
“ดีแล้ว”
เมื่อวานนี้อินชิงเสวียนทิ้งยานอนหลับไว้ให้เย่จั้นสองเม็ด ให้เขาป้อนยาให้กับเย่จิ่งอวี้ ดูเหมือนว่ายาจะค่อนข้างมีประสิทธิภาพดีทีเดียว
“ทางด้านหวังซุ่นเป็นอย่างไรบ้าง”
เย่จั้นกล่าวว่า “ยังทำงานอยู่ในห้อง”
“ถ้าอย่างนั้นก็รออีกหน่อย”
อินชิงเสวียนอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงที่ยังคงหลับอยู่ เดินตามเย่จั้นเข้าไปในห้องโถงใหญ่
ทันทีที่นั่งลงก็ได้ยินคนมารายงาน
“ท่านอ๋อง หวังซุ่นขอเข้าพบ”
เย่จั้นและอินชิงเสวียนมองหน้ากัน
“ให้เขาเข้ามา”
หวังซุ่นวิ่งเข้ามาจากด้านนอก แล้วพูดด้วยสีหน้าประจบประแจง “ข้าน้อยทำเสร็จแล้ว ปฏิบัติภารกิจลุล่วงอย่างดี ไม่ทราบว่า...เมื่อไหร่พระสนมจะปล่อยข้าน้อยไป”
อินชิงเสวียนเหลือบมองหน้ากากในมือของเขา แล้วพูดเรียบๆ “ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้ได้ดีแค่ไหน ถ้าไร้ที่ติ ข้าจะพิจารณาเอง”
หวังซุ่นพูดทันควัน “พระสนมไม่ต้องกังวล ข้าน้อยรับรองว่าจะไม่มีใครเห็นข้อบกพร่องใดๆ”
อินชิงเสวียนตอบอืมแล้วพูดว่า “เจ้าออกไปก่อน ข้าจะตัดสินใจเอง”
หลังจากที่เขาจากไป เย่จั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“พระสนมจะพาฝ่าบาทไปไว้ที่ใด”
อินชิงเสวียนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ให้เขาอยู่ในตำหนักจินหวูชั่วคราวก่อน ข้าจะปกป้องฝ่าบาทเอง”
“ทำได้เพียงเท่านี้แล้ว”
เย่จั้นพูดจบ แล้วเอ่ยอีกว่า “พระสนมจะปล่อยหวังซุ่นไปจริงๆ หรือ หากทักษะความสามารถของเขาถูกใช้เพื่อจุดประสงค์อื่น จะเกิดปัญหาอีกแน่นอน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...