จูอวี้เหยียนแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม “เจ้าคงรู้วิธีการของข้า ถ้าขืนเจ้ากล้าทรยศ ข้าจะทำให้เจ้าร้องขอความตายก็ไม่ได้ ขอมีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้”
ฟางรั่วก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “บ่าวไม่กล้า”
จูอวี้เหยียนเหลือบมองนางแล้วพูดว่า “กลับไปซะ แล้วเรียกชิงจู๋กับฉุยหลิ่วเข้ามา”
หลังจากนั้นไม่นาน สาวใช้สองคนก็เดินเข้ามาจากประตู โค้งคำนับอย่างนอบน้อม
“บ่าวน้อมคำนับราชครู”
จูอวี้เหยียนก้าวออกมา พูดอย่างเย็นชา “ตามข้าไปที่ตำหนักจินหวู”
นางกระตุ้นกู่ตลอดทาง เมื่อกู่แม่ถูกเพรียกหา มันเริ่มเคลื่อนไหวอีก
เพราะได้ดื่มเลือดหัวใจของจูอวี้เหยียน ทำให้วันนี้กู่แม่รู้สึกตื่นเต้นมากกว่าเมื่อก่อน
จูอวี้เหยียนกระตุกมุมปากขึ้น นางอยากเห็นว่าเย่จิ่งอวี้จะทนได้นานแค่ไหน
ในตำหนัก อินชิงเสวียนกำลังดื่มชาพลางสนทนากับเย่จิ่งอวี้
เย่จิ่งอวี้สวมเสื้อคลุมสีดำที่ดูสงบและสง่างาม ชายเสื้อและปกเสื้อปักด้วยด้ายสีทอง ยิ่งดูสูงส่ง
อินชิงเสวียนสวมกระโปรงคาดอกสีเหลืองอมส้ม สีวิจิตรงดงามรับกับใบหน้างดงามหยาดเยิ้มของนางได้เป็นอย่างดี ดุจเกสรแรกเกิด ที่สีสันสดสวยแพรวพราย
ทั้งสองคนหญิงงามหนุ่มหล่อนั่งอยู่ด้วยกันดั่งคู่ตุนาหงัน ที่สวยงามชวนมอง
อวิ๋นฉ่ายกับเสี่ยวอานจื่อที่คอยรับใช้อยู่ข้างๆ ต่างก็ยิ้มหน้าบานจนปิดปากไม่ลง
ดูสายตาที่ฝ่าบาทมองดูพระสนมสิ จุ๊ๆ ช่างน่ารักจริงๆ!
คราวนี้ดีกันแล้วจริงๆ
ในขณะที่กำลังมีความสุข นางกำนัลที่คอยดูแลประตูก็เข้ามาจากข้างนอก
“ฝ่าบาท กุยเฟย นายหญิงเหยียนมาแล้วเพคะ”
เสี่ยวอานจื่อถลึงตามองนางกำนัล นางก้มศีรษะลงทันที
อินชิงเสวียนคลี่ยิ้มบางๆ พูดว่า “ในเมื่อนางมาแล้ว ก็ให้นางเข้ามาเถอะ”
ทันใดนั้นนางกำนัลก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก รีบไปพาจูอวี้เหยียนเข้ามา
“หม่อมฉะนถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
จูอวี้เหยียนก้าวเข้ามา แล้วคำนับเย่จิ่งอวี้ตามแบบฉบับชาวเจียงวู
ใบหน้าของเย่จิ่งอวี้มืดลง
“บังอาจ กุ้ยเฟยก็สอนเจ้าเรื่องมารยาทในวังแล้ว มาพบข้ากับพระสนม เหตุใดจึงไม่คุกเข่า”
ร่องรอยของความประหลาดใจแวบขึ้นมาในดวงตาของจูอวี้เหยียน
ทำไมจู่ๆ เย่จิ่งอวี้ถึงเย็นชากับนางขนาดนี้
นอกจากนี้โทนเสียงของเขาดูเหมือนจะต่ำลงกว่าเดิมเล็กน้อย
ความคิดนี้แวบผ่านมา จูอวี้เหยียนก็รีบคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับสาวใช้ของนาง พร้อมทั้งคำนับตามแบบพิธีในวัง
เย่จิ่งอวี้พูดเรียบๆ “ลุกขึ้นเถอะ เจ้ามาที่นี่ด้วยเรื่องอันใด”
จูอวี้เหยียนกล่าวด้วยสีหน้าน้อยใจ “กุ้ยเฟยอ้างว่าสอนมารยาทในวังให้หม่อมฉัน แต่ทรมานหม่อมฉันทั้งคืน ขอฝ่าบาทให้ความเป็นธรรมกับหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”
เย่จิ่งอวี้พูดอย่างเย็นชา “กุ้ยเฟยมีหน้าที่ดูแลวังหลัง การสอนมารยาทให้กับเจ้าก็นับเป็นหน้าที่ เจ้าไม่เพียงแต่รู้สึกขอบคุณ แต่กลับไม่พอใจ สมควรตายจริงๆ ใครก็ได้ มาตบปากนางยี่สิบครั้ง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จูอวี้เหยียนแทบจะร้องด่าแม่
ทำไมใครๆ เห็นนางแล้วต้องอยากตบปาก นางถึงต้าโจวยังไม่ได้ทำอะไรเลย ใบหน้ากลับแทบผิดรูปเพราะกูกตบตี
นางบีบนิ้ว กัดฟันพูดว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่กล้าบ่น เพียงแค่พูดความจริง ฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้ผู้ปรีชาชาญ ของทรงโปรดวินิจฉัยด้วย”
เย่จิ่งอวี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินไปหาจูอวี้เหยียน
เขาเอื้อมมือไปบีบคางของจูอวี้เหยียน เรียวตาหงส์เย็นชาราวกับน้ำแข็ง
“จูอวี้เหยียน เจ้ายังยังกล้าเสแสร้งแกล้งทำต่อหน้าข้าอีก”
นิ้วเรียวกระชับขึ้นเล็กน้อย ผิวของจูอวี้เหยียนถูกกดจนจม ทำให้เกิดความเจ็บปวดราวกับถูกเจาะทะลุหัวใจ
นางมองเย่จิ่งอวี้ด้วยความตกใจ พูดตะกุกตะกัก “ฝ่าบาทตรัสอะไรเพคะ หม่อมฉันไม่เข้าใจ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...