อินชิงเสวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เหมือนมีคนจ้องข้าอยู่”
อินปู้อวี่ขยับเท้าเล็กน้อยโผบินขึ้นหลังคา เมื่อมองไปรอบๆ ก็พูดขึ้นว่า “ไม่มีใครเลยนะ?”
อินชิงเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ข้าอาจมองผิดพลาดไป เฝ้าพี่ใหญ่ไว้ให้ดี ข้าจะไปดูที่โถงด้านหน้า”
อินปู้อวี่หัวเราะอย่างไม่คิดอะไรมาก
“น้องใหญ่วางใจได้ ตอนนี้พี่ใหญ่ไม่เป็นอะไรแล้ว สองวันนี้ข้าจะดูแลเขาให้ดี”
อินชิงเสวียนพยักหน้า และพูดกำชับอีกว่า “อาซือหลานยังไม่ตาย เขาจะมาถึงเมืองหลวงตอนไหนก็ย่อมได้ คนคนนี้มีแผนการซับซ้อน พี่และท่านพ่อต้องระวังไว้ให้ดีที่สุด”
“ข้ารู้แล้ว”
อินปู้อวี่ตอบรับอย่างอารมณ์ดี
ตอนนี้พี่ใหญ่หายดีแล้ว ครอบครัวได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันจริงๆ เสียที
ขณะเดียวกันนั้น ในตรอกที่ไม่ไกลมากนัก
คนตัวเตี้ยหลายคน หน้าตาอัปลักษณ์ กำลังรวมตัวกันและพูดภาษาที่ผู้อื่นฟังไม่เข้าใจ
หนึ่งคนในนั้นชี้ไปที่ตระกูลอิน อีกหลายคนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง หนึ่งคนในนั้นก็หยิบหมวกไม้ไผ่ออกมา และทันทีที่มีควันลอยขึ้นมา คนคนนั้นก็หายตัวไปอย่างลึกลับ
คนที่เหลือต่างมองหน้ากัน และหายไปในฝูงคน
ตระกูลอิน
อินชิงเสวียนเดินมายังบ้านส่วนหน้า
อินจ้งเชิญเย่จิ่งหลานนั่งที่ตำแหน่งสูงสุด เมื่อรู้ว่ามีแขกคนสำคัญ ซูหมิงหลานก็รีบพาคนไปทำอาหาร ไม่อาจชักช้าในการต้อนรับแขกได้
อินจ้งจึงต้มน้ำชา และรินให้เย่จิ่งหลานด้วยตัวเอง
ร่างกายของเย่จิ่งหลานเป็นเพียงเด็กน้อยอายุไม่กี่ขวบ อินจ้งที่มีอายุค่อนข้างมากจึงไม่รู้จะสนทนาอะไรกับเขา ทั้งสองพูดคุยแบบประดักประเดิดอยู่ครู่หนึ่ง อาหารก็ถูกยกขึ้นโต๊ะ
อินจื่อลั่วช่วยยกอาหารขึ้นโต๊ะด้วยท่าทางที่ไม่ยอม เมื่อเห็นเด็กสาวแสดงท่าทีโมโห เย่จิ่งหลานยิ่งรู้สึกว่านางน่าขัน จึงพูดหยอกล้ออย่างอดไม่ได้
ท่านพ่อท่านแม่และท่านพี่ต่างอยู่กันครบ อินจื่อลั่วจึงไม่กล้าพูดมาก ทำได้เพียงกลอกตามองบนจ้องไปที่เขา
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เย่จิ่งหลานที่กินอิ่มท้องก็ลุกขึ้นยืน
“รบกวนนานแล้ว ข้าต้องขอตัวกลับก่อน ขอบคุณใต้เท้าอินที่ต้อนรับเป็นอย่างดี”
อินจ้งยิ้มและพูดว่า “กระหม่อมต้องขอบพระทัยท่านอ๋อง วันใดที่ลูกชายหายดีแล้ว กระหม่อมจะพาเขาไปขอบพระคุณด้วยตัวเอง”
“ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้พิถีพิถันมากขนาดนั้น”
เย่จิ่งหลานโบกมืออย่างสง่างาม จากนั้นก็พาผู้ติดตามออกไปจากจวนแม่ทัพ
อินชิงเสวียนก็เดินตามมาที่หน้าประตู ตอนที่เย่จิ่งหลานขึ้นรถ นางพูดเสียงเบาว่า “ท่านไม่ได้มีใจต่อจื่อลั่วหรอกใช่ไหม?”
เย่จิ่งหลานตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะร่าออกมา
“ท่านกำลังดูถูกข้า หรือว่าประเมินค่าน้องสาวของท่านสูงเกินไป?”
อินชิงเสวียนจ้องเขาตาถลน
“อย่าปากเสีย”
เย่จิ่งหลานยกมือยอมแพ้แล้วพูดว่า “เอาเถอะๆ ข้าเพียงรู้สึกว่าลักษณะท่าทางของนางเหมือนน้องสาวของข้า”
“น่าเสียดาย...”
เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “นางเสียไปก่อนที่ข้าจะเรียนจบเสียอีก”
เย่จิ่งหลานมองไปด้านหน้า สายตาแฝงไปด้วยความโศกเศร้าที่ไม่เสื่อมคลาย
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ อินชิงเสวียนก็พอคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงรู้สึกผิดขึ้นมา
“ขอโทษด้วยนะ ข้าเพียงลองถามดูเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้”
เย่จิ่งหลานยิ้มอย่างเปิดเผยแล้วพูดว่า “เรื่องราวในอดีตทั้งนั้น พูดไปก็ไม่มีอะไร คนเราไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในความทรงจำไปตลอดหรอก พวกเราก็ถือว่าเป็นคนที่อยู่มาสองยุคสมัย ต้องทำจิตใจให้เบิกบานถึงจะใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ”
อินชิงเสวียนพูดอย่างเห็นด้วย “ท่านพูดถูก หากข้ามีจิตใจเหมือนท่านก็คงดี”
เย่จิ่งหลานมองนางแล้วพูดว่า “คงเป็นเพราะความแตกต่างของผู้หญิงและผู้ชายสินะ จิตใจของผู้หญิงละเอียดอ่อน ความกังวลก็มากตามไปด้วย ค่อยเป็นค่อยไปเถอะนะ ข้าเชื่อว่าท่านทำได้”
เย่จิ่งหลานประสานมือคำนับ ซึ่งเหมาะสมกับอายุของเขา
อินชิงเสวียนยักไหล่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...