“ขอบคุณลุงต่ง”
อินชิงเสวียนพูดขอบคุณอย่างมีมารยาท อย่างไรเขาก็เป็นผู้รับใช้เก่าแก่ที่ภักดีของตระกูลอิน นางเคยได้ยินซูหมิงหลานเล่าว่า เหลาต่งเคยเผชิญอันตรายเพื่อปกป้องตระกูลเอาไว้ นางจึงเคารพเขามาก
เหลาต่งยิ้มอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็ขี่รถม้าออกไป
อินชิงเสวียนจึงพาจังอวี้จิ่นตรงไปที่ตำหนักจินหวู
เมื่อเห็นดอกไม้หลากหลายชนิดในวังที่มีสีเหลืองอร่ามแวววาว จังอวี้จิ่นก็ตื่นตาตื่นใจอย่างอดไม่ได้ ไม่คิดว่าพระราชวังจะงดงามเช่นนี้ อาคารสีสันสวยงาม ด้านบนแกะสลักรูปมังกร นกฟีนิกซ์ ดอกไม้และนกต่างๆ เอาไว้ ซึ่งดูหรูหรากว่าบ้านในหมู่บ้านมาก
สองนายบ่าวมาถึงตำหนักจินหวูอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เข้าประตูก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเสี่ยวหนานเฟิง
ยายหลี่มองเห็นอินชิงเสวียน จึงรีบออกมาต้อนรับ
“เหนียงเหนียง ท่านกลับมาแล้ว แม่นางผู้นี้คือ...”
อินชิงเสวียนอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นมา และหอมลงบนใบหน้าที่อวบอ้วนของเขา
“นี่คือเด็กสาวที่ข้าช่วยเอาไว้ที่ตลาด บอกอวิ๋นฉ่ายหาเสื้อผ้าที่นางสามารถสวมใส่ได้ให้นางเปลี่ยน สอนมารยาทในวังแก่นาง ข้าจะเข้าห้องไปพักเสียหน่อย ไม่ต้องเข้ามารับใช้”
ยายหลี่เข้าใจในทันที เหนียงเหนียงอยากอยู่เงียบๆ สักพัก
“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ แม่นาง ตามข้ามาสิ”
เมื่อเห็นยายหลี่มีใบหน้าเมตตาใจดี จังอวี้จิ่นก็วางใจลง อวิ๋นฉ่ายกำลังพาคนมาทำความสะอาดตำหนักด้านข้าง เมื่อเห็นจังอวี้จิ่นก็อดแปลกใจไม่ได้
พวกนางอายุไล่เลี่ยกัน ไม่นานก็สนิทสนมกันดี อวิ๋นฉ่ายนำเสื้อผ้าของตัวเองให้จังอวี้จิ่นสวมใส่
ในวังมีกุ้ยเฟยเพียงพระองค์เดียว ขันทีกรมวังต่างก็ประจบสอพลออย่างมาก อาหารและเสื้อผ้าจึงดีกว่าตำหนักอื่นๆ อยู่มาก แม้เสื้อผ้าของอวิ๋นฉ่ายไม่ใช่ผ้าปักลายชั้นดี แต่ก็ทำมาจากผ้าดิ้นเงินดิ้นทองทั้งหมด จังอวี้จิ่นไม่เคยสวมเสื้อผ้าที่ดีเช่นนี้ จึงลูบเสื้อผ้าอย่างพึงพอใจ สายตาเต็มไปด้วยแสงที่เป็นประกาย
ขณะนี้ อินชิงเสวียนได้เดินเข้ามาในมิติ
เย่จิ่งอวี้กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้น เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก็หันหน้ามา
เขาเห็นหญิงสาวในชุดกระโปรงพับกลีบสีชมพู ยืนอยู่ด้านหลังของตัวเองด้วยท่าทางสงบเงียบ รอยยิ้มจางๆ ราวกับเทพธิดาลงมาจุติยังโลกมนุษย์ งดงามอย่างน่าทึ่งยิ่งนัก
เย่จิ่งอวี้ลุกขึ้นทันที และรีบถามว่า “เสวียนเอ๋อร์ ที่นี่คือที่ใดกัน เจ้ารีบพาข้าออกไปเถอะ”
อินชิงเสวียนพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “พรุ่งนี้เป็นวันหยุดอาบน้ำ ฝ่าบาทไม่ต้องร้อนใจเพคะ ตลอดปีที่ผ่านมา ฝ่าบาททำงานเพื่อประเทศชาติอย่างหนักในทุกวัน คาดว่าร่างกายคงเหนื่อยล้ามากแล้ว รีบใช้โอกาสนี้ในการพักผ่อนสักสองวัน เมื่อร่างกายของฝ่าบาทดีขึ้นแล้ว หม่อมฉันจะพาฝ่าบาทออกไปเองเพคะ”
เย่จิ่งอวี้สีหน้าตึงเครียด
“ร่างกายของข้า ข้ารู้ตัวเองดี ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดเสวียนเอ๋อร์จึงเอาแต่พูดว่าข้าไม่สบาย”
“หม่อมฉันเคยบอกฝ่าบาทว่า พระองค์ถูกกู่เสน่หาของจูอวี้เหยียน หากไม่กำจัดพิษกู่ทิ้งเสีย ก็จะถูกควบคุมโดยจูอวี้เหยียน ถึงเวลานั้น ทุกสิ่งในราชสำนักจะโกลาหลอลหม่านไปหมด”
เย่จิ่งอวี้ลืมเรื่องที่เคยดูในคลิปไปหมดแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของอินชิงเสวียน ใบหน้าที่หล่อเหลาก็แสดงความไม่พอใจออกมาเล็กน้อย
“เสวียนเอ๋อร์พูดเรื่องอะไรกัน ข้าสบายดี ข้าจะถูกพิษกู่ได้อย่างไร ต้องเป็นเพราะเสด็จอาถูกพิษกู่และทำให้เสวียนเอ๋อร์ตกใจ จนเจ้าเข็ดหลาบ”
อินชิงเสวียนหยิบพิณโบราณในมิติออกมา
“ในเมื่อฝ่าบาทไม่เชื่อ เช่นนั้นก็ฟังหม่อมฉันเล่นพิณเถอะเพคะ”
อินชิงเสวียนนั่งขัดสมาธิ และเริ่มขยับสายพิณ
เสียงพิณที่ไพเราะและอ่อนหวานให้ความรู้สึกอบอุ่น เมื่อได้ยินบทเพลงที่ผ่อนคลายนี้ จิตใจของเย่จิ่งอวี้ก็ค่อยๆ สงบลง
อินชิงเสวียนบรรเลงบทเพลงสามรอบ เมื่อเสียงพิณหยุดลง เย่จิ่งอวี้ก็ลืมตาขึ้น
อินชิงเสวียนถามว่า “ตอนนี้ฝ่าบาทยังเชื่อสาวรับใช้เจียงวูหรือไม่เพคะ?”
เย่จิ่งอวี้มองนาง และถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงงว่า “พวกนางไม่มีความผิด เหตุใดข้าต้องสงสัยพวกนางด้วยเล่า?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...