เย่จิ่งอวี้เล่าเบาะแสที่เจวี๋ยอิ่งทราบให้อินชิงเสวียนรู้ อินชิงเสวียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“เป่ยไห่เป็นสถานที่แบบไหนกัน”
อินชิงเสวียนสนใจสำนักนี้มาก ประการแรกเพราพพิณการเวก ประการที่สองเพราะท่านอาเล็กที่หายตัวไปอย่างแปลกประหลาด และประการที่สามเพราะตราหยกที่นางเก็บได้
เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เมื่อก่อนข้าเคยได้ยินอาจารย์พูดว่า เป่ยไห่เป็นเสมือนฉากกั้นการบุกรุกจากภายนอกของจงหยวน ส่วนจะสกัดกั้นจากสิ่งใดนั้นข้าก็ไม่รู้ และทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องเล่าในยุทธภพที่คนทั่วไปไม่ทราบ จะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จก็ไม่อาจทราบได้”
อินชิงเสวียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ถ้าเสด็จต้องการไปเป่ยไห่ ฝ่าบาทจะเห็นชอบหรือไม่”
“ทหารที่ปิดล้อมในเมืองซุ่ยหานได้ล่าถอยแล้ว แม้ว่าเสด็จอาจะไม่กลับไป ก็คงไม่ส่งผลกระทบมากนัก”
เย่จิ่งอวี้ถอนหายใจเบาๆ และพูดต่อ “หลายปีมานี้เสด็จอาเฝ้าดูแลแว่นแคว้นและชายแดนของต้าโจวมาตลอด บัดนี้แม่ทัพที่เขาฝึกฝนมาก็สามารถต้านทานได้เพียงลำพังแล้ว ข้าไม่อยากให้เขาอยู่ในเมืองซุ่ยหานตลอดไป”
เย่จั้นดีต่อเย่จิ่งอวี้มากจริงๆ ความสัมพันธ์ในครอบครัวเช่นนี้ เมื่ออยู่ในราชวงศ์จึงมีค่ายิ่งกว่าเดิม
“ฝ่าบาทกล่าวถูกแล้ว ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะเสด็จอาช่วยเหลือ คงไม่สามารถหลอกลวงกู่ตัวแม่ของจูอวี้เหยียนได้”
“อืม ไม่รู้ว่าเสวียนเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง กู่แม่นั่นทำอันตรายอะไรกับเจ้าบ้างหรือไม่”
อินชิงเสวียนส่ายศีรษะ
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีเพคะ ไม่รู้สึกอะไร หม่อมฉันกระตุ้นหนอนกู่ไม่เป็น ฝ่าบาทไม่ต้องห่วงว่าจะถูกหม่อมฉันควบคุม”
เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ถ้าข้าถูกเสวียนเอ๋อร์ควบคุม ข้าจะไม่ตำหนิว่ากล่าวใดๆ ด้วยสติปัญญาของเสวียนเอ๋อร์ เจ้าต้องดูแลต้าโจวได้ดีกว่าข้าแน่นอน”
อินชิงเสวียนเอนกายพิงรถม้า หรี่ตาแล้วพูดว่า “หม่อมฉันไม่มีความทะเยอทะยานนั้น หากต้องให้หม่อมฉันสะสางฎีกาเหล่านั้นทั้งวัน คงทรมานยิ่งการความตายอีก”
ต้องตื่นตั้งแต่ไก่โห่ทุกวัน ได้พักผ่อนยามพระอาทิตย์ตกดิน ชีวิตแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถทำได้จริงๆ ทุกเดือนมีวันหยุดพักผ่อนเพียงสามวันเท่านั้น ซึ่งน่ากลัวยิ่งกว่ามนุษย์เงินเงินในสมัยใหม่เสียอีก
เย่จิ่งอวี้กล่าวว่า “พอคุ้นเคยก็ดีขึ้น ฮ่องเต้ในอดีตล้วนเคยผ่านมาเช่นนี้”
อินชิงเสวียนไม่อยากคุ้นเคยกับชีวิตแบบนี้
“นอนจนตื่นเองทุกวัน ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว”
เย่จิ่งอวี้ยิ้ม หยุดโต้เถียงกับนาง
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงมิตินั้น จึงถามว่า “สถานที่ลึกลับนั้น ไม่ทราบว่าเสวียนเอ๋อร์จะพาข้าเข้าไปอีกครั้งได้หรือไม่”
อินชิงเสวียนลืมตาขึ้นมาแล้วพูดว่า “ได้เพคะ ประเดี๋ยวกลับวังแล้ว หม่อมฉันจะพาฝ่าบาทเข้าไปข้างใน หรือว่าฝ่าบาทก็ชอบทิวทัศน์ข้างใน?”
“มิได้ แม้ว่าข้าจะสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับทิวทัศน์ภายใน แต่สิ่งที่ข้าอยากเห็นเพิ่มเติมคืออาการประสาทหลอนบางอย่างที่จับต้องไม่ได้ ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเป็นสิ่งเพ้อฝันที่เกิดจากมิติ”
“โอ้? สิ่งเพ้อฝันอะไร”
อินชิงเสวียนกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที
นางอยู่ในมิติมานานแล้ว แต่นางไม่เคยเห็นอะไรเลย
เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินคำพูดบางอย่าง เสียงนั้นฟังดูเหมือนเสด็จแม่ข้า”
อินชิงเสวียนเลิกคิ้ว
“มีเงื่อนงำอะไรอีกหรือไม่เพคะ”
“ไม่มี ดังนั้นข้าจึงอยากจะเข้าไปดูอีกที”
อินชิงเสวียนตอบรับเบาๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีปัญหา”
ถึงอย่างไรมิติเป็นของนางอยู่แล้ว นางไม่กลัวว่าจะถูกใครเอาไป
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่ ก็มาถึงจวนจิ้งอ๋องแล้ว
เย่จั้นกำลังนั่งดื่มชาอยู่ใต้ต้นไม้เก่าแก่ในลานบ้าน เสื้อคลุมสีขาวราวกับหิมะของเขาปลิวไปตามสายลมราวกับเทพเซียน
เขาถือถ้วยหยกสีขาวไว้ในมือ เงยหน้าขึ้นมองใบไม้ที่ร่วงหล่น แววตาทอดยาวอ่อนโยนราวกับหยกบ่งบอกถึงความอ้างว้าง
เมื่อรู้ว่าฝ่าบาทและกุ้ยเฟยมาด้วยตนเอง เย่จั้นก็วางถ้วยชาลงทันที เดินไปต้อนรับพวกเขาที่หน้าประตู
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...