สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 609

ณ พระราชวัง

อินชิงเสวียนมองเห็นสัญญาณ จึงลุกขึ้นนั่งทันที

นางรู้ว่าหวังซุ่นอยู่ในมิติของเย่จิ่งหลาน เขาจะต้องคิดหาวิธีหนี จึงได้เปิดเผยตัวตนของหวังซุ่นออกมา

แต่เพียงแค่ไม่กี่วินาที สัญญาณนั้นก็หายไป

ทว่ามันก็นานมากพอที่อินชิงเสวียนจะจำตำแหน่งได้อย่างคร่าวๆ

“ไปเรียกฉินเทียนและหลี่ชีเข้ามา”

เย่จิ่งอวี้กำลังเข้าราชสำนัก หากไม่มีความจำเป็น นางก็ไม่อยากไปรบกวน จึงให้ฉินเทียนและหลี่ชีนำลูกน้องจำนวนหนึ่งไปตรวจดูบริเวณใกล้ๆ ก่อน

หลังจากนั้นไม่นาน ฉินเทียนและหลี่ชีก็ก้มหัวเดินเข้ามา

ทั้งสองคนคุกเข่าอยู่ไกลๆ อยู่ที่หน้าประตู ไม่กล้าเข้าไปใกล้

เพราะเป็นห้องนอนของกุ้ยเฟย แม้ว่าจะทำงานร่วมกับอินชิงเสวียนอยู่หลายครั้ง แต่กลับยังไม่กล้ารีบร้อน

อินชิงเสวียนพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องมากพิธี พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ”

ฉินเทียนและหลี่ชีจึงลุกขึ้นยืน และก้มหน้าถามว่า “กุ้ยเฟยมีคำสั่งอะไรพ่ะย่ะค่ะ?”

อินชิงเสวียนพูดว่า “พวกเจ้านำลูกน้องสักจำนวนหนึ่งไปในระยะสามลี้จากเมืองเฉิงหนาน เพื่อตรวจสอบดูว่าละแวกใกล้เคียงมีคนต่างชนเผ่าหรือไม่ รวมทั้งบ้านที่ทิ้งว่าง จำไว้ว่าอย่าเข้าไปตรวจในบ้าน เพียงเรียกเฉยๆ ก็พอแล้ว”

ฉินเทียนและหลี่ชีพยักหน้าพร้อมกัน

“เหล่ากระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

อินชิงเสวียนพยักหน้าแล้วพูดว่า “หากพบกับองครักษ์เงาในวัง ก็ให้ไปรวมตัวกับพวกเขา หากสืบหาเบาะแสอะไรได้ อย่าได้กระทำการบุ่มบ่ามโดยเด็ดขาด จะต้องรายงานข้าอยู่เสมอ นอกจากนั้น พวกเจ้าไปที่จวนจิ้งอ๋องอีกสักรอบหนึ่ง และบอกว่าข้าพบร่องรอยของอาซือหลานแล้ว ตอนนี้ฝูอี้อ๋องก็อยู่ในมือของเขา ท่านอ๋องได้โปรดมาช่วยเหลือด้วย”

“กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

อินชิงเสวียนมอบหมายงานอีกไม่กี่คำ ก็ให้พวกเขาสองคนออกไป

ในขณะเดียวกันนั้น ฟางรั่วมาถึงถนนเทียนเจีย ด้านข้างก็คือเรือนจุ้ยหง

บริกรชายกำลังต้อนรับแขกอยู่ที่หน้าประตู ชั้นสองมีเสียงหัวเราะดังออกมาอยู่ตลอดเวลา

เมื่อมองที่พักในอดีต ฟางรั่วก็ใจลอย

หลายเดือนก่อนนางอาศัยอยู่ที่นี่ อาซือหลานยังกลับมาที่นี่อยู่บ่อยๆ แม้เขาจะสวมหน้ากากเป็นผู้อื่น ฟางรั่วก็รู้ว่าเขาคือคนคนนั้นที่ตัวเองเฝ้ารอ

ตอนนี้ ความหลงใหลเช่นนั้นได้เปลี่ยนเป็นความแค้นทั้งหมด

ทุกสิ่งเป็นเพราะอาซือหลานมอบให้นาง และก็เป็นเพราะเขาที่บีบให้ตัวเองฆ่าท่านแม่ของนางจนตาย

ฟางรั่วในตอนนั้นมีอายุเพียงแค่ห้าหกปี แทบไม่เข้าใจว่าความตายคืออะไร รู้เพียงว่าเลือดไหลทำให้เจ็บปวดอย่างมาก

แต่นางไม่มีทางเลือก หากไม่ลงมือฆ่าท่านแม่ น้องชายก็จะถูกบีบคอตาย

ฟางรั่วไม่มีทางลืมได้ ท่าทางของท่านแม่ที่น้ำตาไหลอาบหน้า และขอร้องให้นางลงมือ

นางไม่กล้าผิดคำพูดต่อท่านแม่ และก็กลัวคนที่พกมีดเหล่านั้นเกิดโศกนาฏกรรม เมื่อเห็นเลือดสดที่ไหลท่วมตัวท่านแม่ ฟางรั่วก็รับรู้ได้ถึงความไม่ปกติ นางร้องไห้ตะโกนเรียกท่านแม่ กลับถูกคนพกมีดเหล่านั้นอุ้มไปอีกด้าน

เด็กผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง ลูบที่ศีรษะของนาง แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดูแคลนว่า “นับตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าก็คือทาสของข้า”

ฟางรั่วถามเขาว่าจะปล่อยน้องชายตัวเองหรือไม่ เด็กผู้ชายบอกว่าปล่อยแน่นอน

ต่อมา ฟางรั่วจึงค่อยๆ ได้รู้ว่า อาซือหลานกระทำการทุกสิ่งอย่างถอนรากถอนโคนมาโดยตลอด จะเก็บน้องชายของนางไว้ได้อย่างไร

เพราะตัวเองลุ่มหลงมากเกินไป เห็นโจรเป็นนายมาตลอดหลายปี และยังพอใจกับสิ่งนี้มากอีกด้วย

จนกระทั่งต้องขี่ม้าไม้จนร่างกายแตกสลาย นางถึงได้เข้าใจว่า ในสายตาของอาซือหลาน ทุกคนล้วนเป็นเครื่องมือที่ให้เขาใช้แย่งชิงผลประโยชน์เท่านั้น ทันทีที่เสียคุณค่าในการใช้งาน เขาจะฆ่าทิ้งอย่างไม่ปราณี

การถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวงหลายวันนี้ นางค่อยๆ คิดจนได้เข้าใจ ในที่สุดนางก็หาตัวตนของตัวเองจนพบ และนำศักดิ์ศรีที่ควรมีคืนกลับมา

นางต้องหาอาซือหลานให้เจอ นางต้องการแก้แค้นให้พ่อแม่และน้องชาย

นางรู้ดีว่าองครักษ์เงาในวังกำลังตามตัวเองอยู่ แบบนี้ก็ดี เพราะนางไม่สามารถเอาชนะอาซือหลานได้ด้วยความสามารถของตัวเอง

นางมองเรือนจุ้ยหงเป็นครั้งสุดท้าย นางมีทั้งความรู้สึกอาฆาตร้ายต่ออาซือหลาน และความรู้สึกผิดที่มีต่อกวนเซี่ยว

กวนเซี่ยวเกิดมามีรูปโฉมหล่อเหลา เป็นผู้ที่ค่อนข้างมีมารยาท แม้ว่าบางครั้งจะพูดเป็นนัยบางครั้งบางคราว แต่กลับไม่เคยลงไม้ลงมือกับนางเลย ซึ่งดีกว่ามากเมื่อเทียบกับตอนที่อยู่กับอาซือหลานที่เจียงวู และใช้พี่น้องของพวกนางมาดึงผู้คนที่มียศถาบรรดาศักดิ์มาเป็นพวก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์