เย่จิ่งอวี้เข้าใจทันทีว่าสิ่งที่อินชิงเสวียนนำมาด้วยคือน้ำพุวิญญาณ
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวมีน้ำใจเพียงใด เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกขอบคุณ พยักหน้ากับอินชิงเสวียน
อินชิงเสวียนยิ้มอย่างสดใส ต่างเข้าใจความรู้สึกของกันและกันอย่างชัดเจน
เย่จิ่งอวี้หันกลับมา พูดกับหวนไท่เฟยว่า “ท่านแม่ นี่คือสะใภ้ของท่าน อินชิงเสวียน”
หวนไท่เฟยเงยหน้าขึ้น ก็เห็นสตรีคนหนึ่งสวมชุดสีขาวพระจันทร์ ศีรษะรวบเป็นมวยขึ้นปักปิ่นแบบง่ายๆ ไม่มีเครื่องประดับประดามากมาย แต่ยังคงยากที่จะปกปิดใบหน้าที่บริสุทธิ์และสวยงาม
คิ้วใบหลิวคู่หนึ่งเข้มราวกับถูกแต่งแต้มด้วยหมึกเขียนคิ้ว ดวงตาคู่โตสุกใสดั่งน้ำแร่ในฤดูใบไม้ผลิ และใบหน้าเล็กๆ เปรียบเสมือนเครื่องลายครามที่แกะสลักอย่างประณีต ผิวพรรณขาวเนียน ร่างบางราวกับจะปลิวไปตามลม
ความงามของอินชิงเสวียนไม่ฉูดฉาด แต่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกอื่น สตรีที่มีงดงามหยาดเยิ้มเช่นนี้ ดูเหมือนจะมีชีวิตอยู่บนสรวงสวรรค์เท่านั้น ไม่ควรปรากฏในโลกมนุษย์
เมื่อมองดูแววตารักใคร่ของลูกชาย หวนไท่เฟยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจ สตรีที่สง่างามเช่นนี้ เหมาะสมกับอวี้เอ๋อร์ผู้หล่อเหลาของนาง เรียกได้ว่าเป็นคู่ที่ลงตัวจริงๆ
อินชิงเสวียนก้าวไปข้างหน้า ยอบกายคำนับแล้วพูดว่า “ชิงเสวียนถวายพระพรหวนไท่เฟยเพคะ”
เซี่ยวอิ๋นหวนรีบลุกขึ้นยืน เอื้อมมือไปประคองนางทันที
พูดด้วยเสียงใจดี “ข้าไม่ใช่คนของวังหลวงอีกแล้ว เสวียนเอ๋อร์ไม่จำเป็นต้องเรียกขานเช่นนี้ เรียกข้าว่าแม่จะใกล้ชิดกันกว่า”
“ชิงเสวียนทราบแล้ว ตอนนี้ท่านแม่รู้สึกอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
เมื่อได้ฟังเสียงที่อ่อนโยนและไพเราะนี้ หวนไท่เฟยก็รู้สึกว่าร่างกายรู้สึกดีขึ้นมากในทันใด
พูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเจ้าไม่ต้องกังวล แม่สบายดี ได้ยินจากอวี้เอ๋อร์ว่าลูกของพวกเจ้าก็มาที่นี่ด้วย เขาอยู่ที่ไหนล่ะ พามาให้แม่ดูหน่อย”
เย่จิ่งอวี้รีบพูดว่า “นี่คือน้ำพุยาที่เสวียนเอ๋อร์นำมาจากเมืองหลวง มีประสิทธิภาพในการรักษาบาดแผลมาก ท่านแม่ไปแช่ตัวในน้ำพุยาก่อนดีกว่า ส่วนเรื่องอื่น ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง”
ฮวาเชียนที่ตามมาก็พูดว่า “นี่เป็นความกตัญญูของชิงเสวียนและอวี้เอ๋อร์ ศิษย์พี่อย่าขัดน้ำใจพวกเขาเลย”
เซี่ยวอิ๋นหวนยิ้มอย่างมีความสุข ความกตัญญูของลูกชายและลูกสะใภ้ นางย่อยอมรับไว้อยู่แล้ว
“งั้นก็ได้ ไว้เราค่อยคุยกันทีหลัง”
“ข้ากับเสวียนเอ๋อร์ขอตัวออกไปก่อน”
เย่จิ่งอวี้จับมืออินชิงเสวียน เดินไปที่ประตูด้วยกัน
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ เย่จิ่งอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะกางแขนออก และโผเข้ากอดอินชิงเสวียน
“เสวียนเอ๋อร์ ข้าคิดถึงเจ้ามาก”
ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดต้นคอ ทำให้รู้สึกจั๊กจี้ อินชิงเสวียนหดคออย่างอดไม่ได้ จากนั้นจึงยื่นมือออกไปกอดเอวของเย่จิ่งอวี้
“ข้าก็คิดถึงอาอวี้เหมือนกัน หลายวันนี้ข้าเป็นห่วงอยู่ตลอด กลัวว่าอาอวี้จะเป็นอะไรไป ตอนนี้ท่านไม่เป็นอะไรแล้ว แถมยังพบท่านแม่อีก สวรรค์ใจดีต่อเราจริงๆ”
เย่จิ่งอวี้พยักหน้าอย่างหนักแน่น
“จริงด้วย ข้าก็คิดว่าจะไม่ได้เจอเสวียนเอ๋อร์อีกแล้ว”
เขาก้มศีรษะลง ริมฝีปากเย็นชื้นเล็กน้อยประทับจูบลำคอของอินชิงเสวียน ไล่ขึ้นมาจนในที่สุดก็ถึงริมฝีปาก และจุมพิตนางอย่างรวดเร็ว
อินชิงเสวียนรู้สึกเขินอาย รีบหันหลังกลับ
“ที่นี่ไม่ใช่วังหลวงนะ อาอวี้อย่าทำอะไรตามใจชอบสิ”
เย่จิ่งอวี้ก็ต้องการรักษาหน้าตาตัวเอง เขาจึงไม่กล้าทำสิ่งที่ปรารถนาตรงนี้ เขาไอแห้งๆ กลบเกลื่อนโดยเร็ว และถามด้วยสีหน้าจริงจัง “เสวียนเอ๋อร์ออกจากวังมาด้วยฐานะใด ตอนนี้ในราชสำนัก ใครเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ”
“ข้าบอกว่าฝ่าบาทส่งข้ามาดูแลเรื่องการผันน้ำ เพราะข้าเป็นคนวาดแผนภาพ ไม่ทำให้คนเกิดความสงสัยใดๆ ตัวตนของฝ่าบาทถูกแทนที่ด้วยเสด็จอาชั่วคราว ใช้หน้ากากผิวหนังมนุษย์ที่หวังซุ่นทำไว้ เสด็จอาและฝ่าบาทมีความสูงไล่เลี่ยกัน ทั้งยังคุ้นเคยกับเรื่องการเมือง จึงไม่น่าจะถูกเปิดเผยได้ง่าย”
เย่จิ่งอวี้ถอนหายใจและพูดว่า “เป็นเช่นนี้น่ะเอง ทำใหเสวียนเอ๋อร์ลำบากใจแล้ว ให้เสด็จอาดูแลราชกิจแทนข้า นับว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...