แววตาของเจ้าสำนักเซี่ยวแปลกไป ลดฝ่ามือลงทันที
เย่จิ่งอวี้กระโดดขึ้นไปในอากาศ อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยอย่างเย็นชา
“เหตุใดเจ้าสำนักเซี่ยวถึงไม่สู้ต่อล่ะ”
เซี่ยวอิ๋นหวนรีบห้ามเขา ดุด้วยเสียงแผ่วต่ำ “อวี้เอ๋อร์ อย่าไร้มารยาทกับเจ้าสำนัก”
เจ้าสำนักเซี่ยวยังคงยืนมองดูเขานิ่งๆ แววตาเต็มไปด้วยความคิดที่ซ้อนเป็นชั้นๆ ทำให้ผู้คนไม่สามารถคาดเดาได้
ในเวลานี้ มีเสียงเจื้อยแจ้วดังมาจากด้านหลัง
“เด็จพ่อ สวยแม่!”
เสี่ยวหนานเฟิงทนอยู่ในห้องไม่ไหวอีก เมื่อมองดูโคมไฟที่ห้อยอยู่ข้างนอก ก็ตะโกนว่าจะออกมาดู
อวิ๋นฉ่ายและจังอวี้จิ่นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตามใจเขา อุ้มเด็กออกไป
เสียงร้องอันนุ่มนิ่มนี้ทำให้ทุกคนหันกลับมาพร้อมกัน
สีแดงอ่อนๆ ในดวงตาของเย่จิ่งอวี้ค่อยๆ จางหายไป
เจ้าสำนักเซี่ยวก็มองไปในระยะไกลเช่นกัน
“เด็กนี่เป็นใคร?”
อินชิงเสวียนก้าวออกไปรับเสี่ยวหนานเฟิง โค้งคำนับเล็กน้อยแล้วพูดว่า “นี่คือลูกชายของข้าและอาอวี้ เนื่องจากการเดินทางอันยาวนาน ผู้เยาว์ไม่วางใจที่จะทิ้งลูกไว้ในวัง จึงพาเขามาที่นี่ด้วยกัน”
เมื่อได้ยินว่านี่คือหลานชายตัวน้อยของตัวเอง เซี่ยวอิ๋นหวนก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น เอื้อมมือไปรับเสี่ยวหนานเฟิง
เสี่ยวหนานเฟิงมองนางอย่างสงสัย ดวงตาคู่โตขนตางอนยาวกะพริบปริบๆ โดยไม่กลัวคนแปลกหน้าแม้แต่น้อย
เซี่ยวอิ๋นหวนจูบใบหน้าเล็กๆ ของเสี่ยวหนานเฟิง อดชื่นชมไม่ได้ “เด็กคนนี้น่าเอ็นดูจัง เหมือนทั้งอวี้เอ๋อร์ เหมือนทั้งเสวียนเอ๋อร์ด้วย”
อินชิงเสวียนลูบหัวเล็กๆ ของเสี่ยวหนานเฟิง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เรียกท่านย่า”
เสี่ยวหนานเฟิงร้องเรียกด้วยเสียงใสๆ ทันที
“ท่านย่า”
เซี่ยวอิ๋นหวนได้ยินเช่นนี้ก็น้ำตาซึมด้วยความตื้นตันใจ ไม่คาดคิดว่าแค่พริบตาเดียว ลูกของลูกชายจะโตขนาดนี้แล้ว นางติดค้างลูกชายไว้มาก เสียใจที่ตอนนั้นตัวเองตาบอด ถูกฮ่องเต้หลอกพาเข้าวัง นางคิดว่านั่นคือความรัก ต่อมาจึงได้รู้ว่า ครอบครัวราชวงศ์นั้นไร้หัวใจ
เมื่อคิดถึงอดีต เซี่ยวอิ๋นหวนก็ขอบตาแดงก่ำ
เจ้าสำนักเซี่ยวก็เดินมาจากด้านหลัง ยื่นมือออกไปบีบแก้มเล็กๆ ของเสี่ยวหนานเฟิง เห็นได้ชัดว่าเขาชอบมากจริงๆ
แล้วก็พูดว่า “ถือโอกาสคืนนี้ที่ยังเงียบสงบ พวกเจ้ารำลึกความหลังกันไปก่อน ข้ามีอย่างอื่นต้องทำ ต้องออกไปข้างนอกก่อน”
เซี่ยวอิ๋นหวนโค้งคำนับและพูดว่า “ขอบคุณท่านพ่อบุญธรรม”
หลังจากที่เจ้าสำนักเซี่ยวจากไปแล้ว เซี่ยวอิ๋นหวนก็อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงไปยังห้องพักของตัวเอง ยิ่งมองดูเด็กมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่าน่ารักเท่านั้น ที่สำคัญที่สุดคือปากน้อยๆ นี่ปากหวานมาก ร้องเรียกท่านย่าๆ แทบจะเรียกจนวิญญาณของเซี่ยวอิ๋นหวนออกจากร่าง
หลังจากมองดูเซี่ยวอิ๋นหวนอุ้มเขาอยู่ครู่หนึ่ง อินชิงเสวียนก็รับลูกไป
“ท่านแม่เพิ่งแข็งแรง อย่าเพิ่งเหนื่อยเกินไป จ้าวเอ๋อร์ช่างพูดช่างเจรจามาก ถ้าคุยกับเขา เขาจะพูดไม่รู้จักจบจักสิ้น”
เซี่ยวอิ๋นหวนมองดูหลานชายด้วยสีหน้ารักใคร่เอ็นดู
“พูดได้ก็ดีแล้ว พิสูจน์ให้เห็นว่าจ้าวเอ๋อร์มีความสามารถและชาญฉลาด ต่อไปก็จะสามารถบริหารบ้านเมืองได้ดี เป็นวาสนาของราษฎร”
เซี่ยวอิ๋นหวนพูดชม แล้วหันไปหาเย่จิ่งอวี้
“ต่อไปห้ามไร้มารยาทกับเจ้าสำนักเซี่ยวอีก ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน แม่คงทิ้งร่างไว้ในถิ่นทุรกันดารแล้ว”
เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วและถามว่า “ท่านแม่หมายความว่าอย่างไร”
เซี่ยวอิ๋นหวนถอนหายใจและพูดว่า “แม่เกิดในหมู่บ้านบนภูเขาเล็กๆ ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด ทุกคนในหมู่บ้านถูกฆ่าตายในชั่วข้ามคืน ประสบภัยพิบัติร้ายแรง เป็นตาของเจ้าซ่อนตัวแม่ไว้ จึงหลบหนีมาได้ ต่อมาก็ได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าสำนักเซี่ยว พามาที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เจ้าสำนักเซี่ยวได้ปฏิบัติต่อแม่ราวกับว่าครอบครัว บุญคุณความเมตตาเช่นนี้ เกรงว่าทั้งชาติแม่ก็ไม่สามารถตอบแทนได้หมด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...