“ชาวตงหลิว สมควรตาย!”
เสียงใสราวกับน้ำพุดังก้องออกมาจากริมฝีปากของสตรีคนนั้น ฝ่ามือก็ถูกซัดโดนร่างของอวี๋กงแล้ว
เมื่อเห็นใบหน้างดงามหยาดเยิ้มดวงนั้น ม่านตาของฉุยอวี้ก็หดลง ปล่อยมือของอวี๋กงโดยไม่รู้ตัว
ความปรารถนาในใจทำให้จิตใจของเขาว่างเปล่าครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้ยินอวี๋กงตะโกน และร่างนั้นก็ล้มลงกับพื้น
ซึ่งคนที่ลงมือไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอินชิงเสวียน
นางรู้ถึงข้อเสียของมิติ ด้วยความกระวนกระวายใจ นางทำได้เพียงแกล้งทำเป็นจัดการกับอวี๋กง แต่จริงๆ แล้ว นางเพียงแลกความเร็วของมิติเท่านั้น ซึ่งความแรงของฝ่ามือนั้น ไม่ต่างจากการตบของคนทั่วไป
หวังซุ่นซึ่งแต่งตัวเป็นอวี๋กงก็ตื่นตัวเช่นกัน ล้มตัวลงนอนบนพื้นเสียงดังตึง
เย่จิ่งหลานรีบใช้ความคิด พาหวังซุ่นเข้าไปในมิติ
อาซือหลานรู้สึกตัว หัวใจก็เต้นรัวเมื่อเห็นอวี๋กงหายตัวไปอย่างกะทันหัน
คนสามารถหายไปจากอากาศได้ นี่มันวิชายุทธ์อะไรกัน
เฮ่ออวิ๋นทงและคนอื่นๆ มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่มีใครเข้าใจว่า คนทั้งคนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยแบบนี้ ถึงกับมีคนมาดูตรงจุดที่หวังซุ่นเพิ่งหายตัวไป ใช้มือเคาะดูจนทั่ว
เสียงนั้นทุ้มหนัก ไม่สามารถซ่อนอะไรได้
เก่อหงยวนที่ตั้งท่าเตรียมพร้อม พอเห็นคนหายไปกับตา ก็ไม่พอใจอย่างมาก เพราะท้ายที่สุดนางยังไม่ได้แสดงฝีมือเลย
ดวงตากลมโตเบิกกว้างและถามว่า “เจ้าสำนักฉุย ท่านเป็นคนซ่อนไว้ใช่หรือไม่”
อาซือหลานถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ กางแขนออกแล้วพูดว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ มีดวงตาแปดร้อยคู่จับจ้องอยู่ เว้นแต่ข้าจะมีความสามารถสูงเทียมฟ้า ไม่งั้นก็เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้”
เฮ่ออวิ๋นทงและผู้อาวุโสสวีมองหน้ากัน ต่างก็ส่ายหัวให้กันอย่างไม่กระโตกกระตาก
แม้ว่าพวกเขา ก็ไม่สามารถซ่อนคนให้หายไปในอากาศได้
ดวงตาของเย่จิ่งอวี้หรี่ลงเล็กน้อย แสงอันเย็นชาพลันดับลง
แน่นอนว่าเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาไม่คิดว่าฉุยอวี้จะเจ้าเล่ห์เช่นนี้
ในขณะที่กำลังครุ่นคิด ก็ได้ยินอินชิงเสวียนพูดด้วยความตกใจ “เอ๊ะ! ทำไมผีแคระตงหลิวนั่นถึงหายไปแล้ว หรือว่าสามารถเหินฟ้าดำดินได้”
เมื่อเห็นหญิงสาวเริ่มแสดง ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ก็เปล่งประกายด้วยความเสน่หา
พูดเบาๆ “มนตราคาถาของคนตงหลิวนั้นแปลกมาก แตกต่างจากกำลังภายในที่เราฝึกฝน บางทีนี่อาจเป็นความสามารถของเขาก็ได้”
ผู้อาวุโสหลายคนต่อสู้กับคนตงหลิวหลายครั้ง ย่อมรู้ถึงความสามารถแปลกๆ ของพวกเขาอยู่แล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
อาซือหลานหันกลับมามองเย่จิ่งอวี้แล้ว
เขาถามด้วยน้ำเสียงสัพยอก “มีแค่คนตงหลิวจริงๆ หรือ”
เย่จิ่งอวี้มองเขาอย่างเย็นชา ราวกับว่าต้องการมองผ่านผ้าคลุมสีดำหนาที่ห่อหุ้มเขา
“ไม่งั้นล่ะ?”
อาซือหลานหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ข้าคิดว่าคุณชายเย่ไม่พอใจกับคำตอบก่อนหน้าของข้าเสียอีก จึงก่อให้เกิดเรื่องยุ่งยากในวันนี้”
อินชิงเสวียนมาหาเย่จิ่งอวี้ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หรือว่าเจ้าสำนักฉุยคิดว่าเราควรพอใจ? แม่สามีของข้าไม่เคยสร้างศัตรูกับคนอื่น แต่จู่ๆ ก็ถูกลักพาตัวโดยสำนักเซียวเหยา เจ้าสำนักฉุยกลับบอกว่าไม่รู้เรื่อง ก็ปัดเรื่องนี้ออกจากตัวไปโดยสิ้นเชิง ถ้าเป็นเช่นนั้น มีสิทธิ์อะไรไปสงสัยคนอื่นด้วย”
อาซือหลานส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
“คำพูดของแม่นางอินก็มีเหตุผล เรื่องผู้คุมตราเซี่ยว ข้าไม่สามารถโต้เถียงได้จริงๆ เอาเถอะ เรื่องในวันนี้ ข้าจะไม่สืบสาวราวเรื่องอีก”
เขาประกบมือคารวะ ยิ้มให้ทุกคน “ตามคำที่ว่า เชื้อเชิญมิสู้พบโดยบังเอิญ เป็นเรื่องยากที่ทุกคนจะมารวมตัวกันในสำนักเซียวเหยา เช่นนั้นก็อยู่ดื่มน้ำร่ำสุราก่อนค่อยไป เพื่อที่ข้าจะได้กระทำสิ่งเล็กน้อยที่เจ้าบ้านพึงทำ”
เฮ่ออวิ๋นทงมักจะดูหมิ่นคนเช่นฉุยอวี้ที่มีพฤติกรรมไก่ขันหมาขโมยมาโดยตลอด จึงแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา “ไม่จำเป็น ถ้าจะว่างมาทำเรื่องนั้น ข้าไปนอนดีกว่า”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...