เย่จิ่งหลานชำเลืองมองแวบหนึ่ง ร่องรอยแห่งความสนุกสนานพลับแวบขึ้นในดวงตา
ในเมื่อคุณชายคาวาสึบาเมะรนหาที่ตายเอง งั้นก็มาโทษเขาไม่ได้ เดิมทีต้องการตีสนิท ค้นหาที่ซ่องสุมของพวกตงหลิว กำจัดพวกเขาในคราวเดียว แล้วตัวเองก็กลายเป็นเจ้าเกาะเล่นๆ
เมื่อเห็นความพยายามในการพูดจาของคาวาสึบาเมะ เย่จิ่งหลานก็เปลี่ยนใจ
ตัดกำลังให้คนเหล่านี้อ่อนแอลงก่อน เหมือนจะเป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลย
แน่นอนว่าสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของอินชิงเสวียน ไม่รู้ว่านางจะแสดงอานุภาพของพิณการเวกได้มากน้อยเพียงใด
ขณะที่ความคิดกำลังโลดแล่น โมริตะคาวาสึบาเมะก็ชวนชนจอกสุราอีก
เย่จิ่งหลานรู้สึกว่าเขาพูดมากพอสมควรแล้ว จึงแสร้งทำเป็นเมามาย แล้วออกจากเหลาสุราก่อน
ครั้นกลับถึงหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ เย่จิ่งหลานก็ไปหาอินชิงเสวียนทันที และเล่าเรื่องเกี่ยวกับโมริตะคาวาสึบาเมะให้นางฟัง
อินชิงเสวียนเอื้อมมือไปดึงหูของเย่จิ่งหลาน
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เจ้ากลับไม่บอกข้า ถ้าเกิดเจ้าตกอยู่ในอันตรายล่ะ จะทำอย่างไร”
เย่จิ่งหลานร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวดเกินจริง พูดว่า “พวกเราต่างก็เป็นคนที่มีมิติ จะกลัวอะไร”
อินชิงเสวียนพูดด้วยความเดือดดาล “ข้าบอกเจ้าหลายครั้งแล้ว มิติไม่ได้มีความสามารถสารพัดอย่าง เพราะไม่ใช่ว่าจะใช้ได้ดีทุกครั้ง เย่จิ่งหลาน ถ้าขืนเจ้ายังคิดเองเออเองแบบนี้ต่อไป ข้าจะส่งเจ้ากลับเมืองหลวงซะ”
เย่จิ่งหลานหยิบบุหรี่ออกมา อัดควันเข้าเต็มปอด แล้วพูดอย่างไม่พอใจ “เจ้าเด็กน้อยนี่ เจ้าเพิ่งผ่านร้อนผ่านหนาวมากี่ปีกันเชียว พี่ชายน่ะเดินได้แล้ว เจ้าถึงเพิ่งคลอดออกมาจากท้องแม่ อย่าเคร่งนักเลย”
“ถุย ต่อให้ตอนนี้ข้าจะอายุห้าขวบ แต่ก็มีความสามารถมากกว่าเจ้า”
คำพูดของอินชิงเสวียนกระทบจิตใจของเย่จิ่งหลานทันที เมื่อมองดูมือและเท้าสั้นๆ ของตัวเอง ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
“ได้ๆ ข้าจะฟังเจ้าก็ได้”
สีหน้าท่าทางของอินชิงเสวียนจึงอ่อนลงเล็กน้อย
“เจ้าแน่ใจหรือ ว่าเขาคืออ๋องน้อยโมริตะ?”
เย่จิ่งหลานนั่งไขว่ห้าง แล้วพ่นควันออกมา
“หวังซุ่นเคยพบเขาที่ตงหลิวมาก่อน ไม่ผิดแน่นอน”
อินชิงเสวียนบีบคางแล้วพูดว่า “ถ้าเป็นจริง บางทีเราอาจใช้โอกาสนี้จัดการกับพวกบากะนั่นให้หนัก”
เย่จิ่งหลานตอบอืม และพูดว่า “ถ้าเขาปล่อยข่าวออกไป เกรงว่าคงภายในวันหรือสองวันนี้ ถ้าตงหลิวโจมตี ก็ใช้เวลาไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ เราต้องรีบวางกำลังโดยเร็ว”
เขากวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วถามว่า “เย่จิ่งอวี้ล่ะ?”
ทันใดนั้นใบหน้าของอินชิงเสวียนก็เคร่งขรึมขึ้น น้ำเสียงทุ้มลึกขึ้นเล็กน้อย
“ข้าพาเข้าไปอยู่ในมิติ”
เย่จิ่งหลานกลอกตามองนางแล้วพูดว่า “กลางวันแสกๆ แบบนี้ เขาเข้าไปทำอะไรในมิติ”
อินชิงเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เขา...มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น...”
เดิมทีนางต้องการบอกเรื่องนี้กับเจ้าสำนักเซี่ยว แต่ยังไม่ทันได้อธิบาย เจ้าสำนักเซี่ยวก็เข้าคุกเอง หวนไท่เฟยมีลูกชายเพียงคนเดียว อินชิงเสวียนไม่อยากให้นางเป็นห่วง ตอนนี้จึงทำได้แค่บอกเย่จิ่งหลาน
หลังจากทราบเรื่องการเปลี่ยนแปลงในดวงตาของเย่จิ่งอวี้ และเสียงกระพรวนในมิตินั้น เย่จิ่งหลานก็ขมวดคิ้วเช่นกัน
“ตามประสบการณ์หลายปีในการอ่านนิยายของข้า เย่จิ่งอวี้มีแนวโน้มว่าจะถูกเข้าแทรก แต่เสียงกระพรวนนั่นคืออะไร ทำไมถึงสามารถเข้าสู่มิติของเจ้าได้โดยตรงได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...