กวนเซี่ยวตกใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรในเวลาสั้นๆ อีกทั้งเขายังไม่เชื่อคำพูดของผู้หญิงคนนี้
หญิงสาวเห็นว่าเขาไม่พูดจา จึงค่อยๆ พูดโน้มน้าว “เจ้าคงจะเป็นลูกศิษย์ของสำนักใดสำนักหนึ่งสินะ ในเมื่อเป็นชาวยุทธภพ ก็ไม่มีผู้ใดที่ไม่ปรารถนาในอำนาจ ขอเพียงมีอำนาจคับฟ้า ผู้หญิงทุกคนต่างแย่งกรูกันเข้าไป ผู้ที่เคยเหยียบย่ำเจ้าไว้ใต้ฝ่าเท้าในอดีต จะเงยหน้าขึ้นและมองดูเจ้าซึ่งอยู่เหนือกว่า เจ้ามีความเห็นอย่างไรบ้าง?”
แม้ว่าผู้นี้จะเป็นคนที่สุนัขชั้นต่ำส่งมาก็ไม่เป็นไร ขอเพียงสามารถช่วยนางปลดจากโซ่เหล็กได้ นางก็จะได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้ง
เมื่อนึกถึงฟางรั่ว กวนเซี่ยวก็รู้สึกใจเต้นเล็กน้อย
แต่กลับถามออกมาอย่างอดไม่ได้
“ผู้ใดจับท่านมาขังไว้ที่นี่ และผู้ที่สวมรอยเป็นท่านคือผู้ใดกัน?”
หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเคียดแค้นว่า “มันคือสัตว์เดรัจฉานที่แฝงตัวเข้ามาในสำนักเซียวเหยา เขามีนิสัยดุร้ายและเจ้าเล่ห์ มีไฝน้ำตาอยู่ที่มุมตาของเขา สิ่งที่ข้ารู้เกี่ยวกับเขาก็มีเพียงเท่านี้”
เมื่อได้ยินคำว่าไฝน้ำตา กวนเซี่ยวก็หายใจถี่ขึ้น
“เขามีอายุราวยี่สิบกว่าปี หน้าตาหล่อเหลา ไฝน้ำตาอยู่ที่มุมตาซ้ายใช่หรือไม่?”
น้ำเสียงของหญิงสาวเย็นชาในทันที และพูดเสียงฮึดฮัดว่า “พวกเจ้าเป็นพวกเดียวกันจริงๆ ด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็รีบไสหัวไปเถอะ!”
คำพูดนี้แสดงถึงการยอมรับอย่างไม่ต้องสงสัย กวนเซี่ยวใจเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
นึกไม่ถึงว่าเจ้าสำนักเซียวเหยาในตอนนี้ ก็คือไอ้สุนัขชั้นต่ำอย่างอาซือหลาน พยายามหาแทบตายไม่เจอ พอเลิกหาเลิกสนใจ กลับได้มาง่ายๆ แบบคาดไม่ถึงเสียอย่างนั้น
“ข้าจะช่วยท่านออกไปเดี๋ยวนี้”
กวนเซี่ยวหยิบมีดสั้นออกมา และสับลงบนโซ่เหล็กสองครั้ง แต่กลับไม่มีผลลัพธ์อะไร
หญิงสาวตกใจเล็กน้อย นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดกวนเซี่ยวจึงเปลี่ยนความคิดกะทันหันเช่นนี้ แต่นางไม่มีเวลามานั่งคิด จึงรีบหันหน้าไปทางด้านขวา
“ขยับหินก้อนใหญ่ก้อนนั้น ด้านล่างมีร่องน้ำอยู่ ด้านในมีมีดพระจันทร์สีดำที่สามารถตัดเหล็กได้เหมือนดินเหนียว มีเพียงมีดเล่มนั้นที่สามารถตัดโซ่เหล็กบริสุทธิ์ที่จองจำข้าได้”
กวนเซี่ยวรีบไปโยกย้ายหินใหญ่ก้อนนั้น ปรากฏว่าด้านในมีมีดดำอยู่เล่มหนึ่ง รูปร่างลักษณะคล้ายกับดาบยาวประหลาดรูปร่างคล้ายพระจันทร์เสี้ยว
เขาใช้สองมือจับตัวดาบไว้แน่น และตะโกนเสียงดัง พร้อมสับโซ่เหล็กลงไปเต็มแรง
ณ โถงร่วมธรรม
คำพูดของอินชิงเสวียนทำให้ทุกคนฮือฮาขึ้นมา
ภายใต้สายตาของทุกคน อาซือหลานค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
เขาหัวเราะเสียงแหบแห้ง
“แม่นางอินหมายความว่าอย่างไรกัน?”
อินชิงเสวียนพูดด้วยน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียด “ข้ามองตัวตนของเจ้าอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว เลิกเสแสร้งได้แล้ว”
นางหันหน้าไปยังเจ้าสำนักทุกท่าน ประสานมือแล้วพูดว่า “ตัวตนที่แท้จริงของเขาคนนี้คือท่านอ๋องน้อยอาซือหลานแห่งเจียงวู หากผู้อาวุโสทุกท่านไม่เชื่อ เปิดหมวกไม้ไผ่ของเขาออกดูก็จะรู้เจ้าค่ะ”
เดิมทีเจ้าสำนักเซี่ยวก็ไม่ชอบสำนักเซียวเหยา เมื่อได้ยินดังนั้นก็พูดเสียงเรียบว่า “แม้ชิงเสวียนไม่ใช่ลูกศิษย์ในสำนักของข้า แต่ข้าก็เชื่อใจนาง นางไม่มีทางใส่ความผู้อื่นแน่นอน ฉุยอวี้ ถอดหมวกไม้ไผ่ของเจ้าออกเสีย”
อาซือหลานหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “แม้ข้าจะถอดหมวกไม้ไผ่ออก แต่พวกท่านจะตัดสินจริงเท็จได้อย่างไร ข้าไม่เคยเปิดเผยหน้าตาที่แท้จริงต่อคนภายนอก พวกท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าฉุยอวี้ตัวจริงมีหน้าตาแบบไหน?”
เย่จิ่งอวี้พูดเสียงเข้มว่า “ได้ยินว่าสำนักเซียวเหยาก่อสร้างสำนักมาหลายสิบปีแล้ว แม้ว่าผู้อาวุโสในยุทธภพจะไม่รู้จักเจ้า แต่สามารถแยกแยะได้จากอายุ อย่ามัวพูดพร่ำ รีบถอดหมวกไม้ไผ่ของเจ้าออกเสีย!”
อาซือหลานพูดเยาะเย้ย “น่าขัน ข้าเป็นถึงเจ้าสำนัก เหตุใดต้องฟังคำสั่งคนไร้สำนักอย่างพวกเจ้าด้วยเล่า”
เจ้าสำนักเซี่ยวพูดเสียงเข้ม
“เย่จิ่งอวี้เป็นหลานชายของข้า เหตุใดจึงไม่ใช่คนของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ความต้องการของเขาก็คือความต้องการของข้า”
ไม่ว่าเขาจะไม่ชอบขี้หน้าเด็กหนุ่มตระกูลเย่อย่างไร แต่ก็ไม่ยอมให้คนนอกพูดมากแม้เพียงคำเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...