ณ หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์
หลังจากที่กวนเซี่ยวไปแล้ว อินชิงเสวียนจึงนึกขึ้นได้ว่ามีดที่ฉุยอวี้มอบให้กวนเซี่ยวยังอยู่ในมือของตัวเอง
“กวนเซี่ยว”
อินชิงเสวียนมาตะโกนเรียกที่หน้าประตู
กวนเซี่ยวผลักประตูออกมา บนโต๊ะมีถุงผ้าที่มัดไว้หนึ่งชิ้น
อินชิงเสวียนยื่นดาบสันโค้งที่มีสีดำขลับให้เขา
“นี่คือของที่เจ้าสำนักฉุยแห่งสำนักเซียวเหยามอบให้เจ้า บอกว่าตอบแทนที่เจ้าช่วยชีวิตเอาไว้”
กวนเซี่ยวจำมีดเล่มนี้ได้ และรู้ว่าของชิ้นนี้ตัดเหล็กได้ราวกับผ่าดินเหนียว ไม่ใช่สิ่งของธรรมดา
จึงอดนึกถึงเรื่องในวันนั้นไม่ได้
เขาพาฉุยอวี้ออกมาจากคุกมืด เมื่อเห็นว่านางชำนาญลู่ทางสำนักเซียวเหยาเป็นอย่างดี จึงเชื่อใจนางขึ้นมาก
เมื่อรู้ว่าอาซือหลานไปที่โถงร่วมธรรม ฉุยอวี้ก็รีบเปลี่ยนเป็นชุดคลุมสีดำ และให้กวนเซี่ยวพาตัวเองไป
ระหว่างทาง ฉุยอวี้หวังให้เขาเข้าร่วมสำนักเซียวเหยา นางยินยอมสืบทอดวิชาขั้นสุดยอดของสำนักเซียวเหยาให้แก่เขา เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ
กวนเซี่ยวปฏิเสธ
เขาไม่ใช่คนในยุทธภพ แต่ไม่ต้องการวุ่นวายกับเรื่องในยุทธภพมากเกินไป การที่ตัวเองได้ช่วยเหลือฉุยอวี้ ก็เป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น
ฉุยอวี้เห็นว่าเขาไม่ยินยอม จึงไม่ได้พูดอะไรอีก
วันนี้นึกถึงอีกครั้ง เขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจ
ท่านผู้เฒ่ากวนก็มีอายุมากแล้ว ตระกูลกวนมีเขาเป็นทายาทเพียงคนเดียว กลับไปปรนนิบัติดูแลท่านปู่ที่เมืองหลวง จึงเป็นสิ่งที่เขาควรทำ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ผลักมีดพระจันทร์ดำที่อยู่ในมือของอินชิงเสวียนออกไป
“ข้าคงไม่จำเป็นต้องใช้มีดเล่มนี้ ช่วยมอบให้แก่ฟางรั่วแทนข้าด้วย นางติดตามท่านอยู่ในยุทธภพ การมีอาวุธคมอยู่ในมือก็ถือเป็นการปกป้องอีกชั้นหนึ่ง”
อินชิงเสวียนเหลือบมองเขาแล้วพูดว่า “เช่นนั้นเจ้าก็มอบให้นางด้วยตัวเองเถอะ เพราะเป็นของที่ผู้อื่นมอบให้ ข้ามอบให้นางแทนเจ้าคงไม่เหมาะสม”
กวนเซี่ยวลังเลครู่หนึ่งก็รับมีดมาถือไว้ในมือ
“ข้ารู้แล้ว”
อินชิงเสวียนพยักหน้า นางกำลังไปหยอกล้อกับเจ้าเด็กอ้วน ทันใดนั้น ประตูห้องของเย่จิ่งหลานก็เปิดออกมุมหนึ่ง มือเล็กๆ ข้างหนึ่งกวักมือเรียกนาง
“ทำอะไรอีก คงไม่ให้ข้าไปเป็นเป้าหรอกนะ!”
อินชิงเสวียนถามอย่างไม่สบอารมณ์
เย่จิ่งหลานยื่นมือมาคว้าตัวนางเข้าไปในห้อง และปิดประตูด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ
“ข้ามีบางสิ่งให้เจ้าดู”
อินชิงเสวียนถามด้วยความสงสัย “ดูอะไรงั้นหรือ?”
เย่จิ่งหลานชี้ไปยังเทียนที่อยู่ด้านหน้า
“ดูนั่นสิ”
อินชิงเสวียนคิดในใจ ของเล่นพวกนี้มีอะไรน่าดูกันนะ?
กลับเห็นว่าเย่จิ่งหลานหยิบขลุ่ยดินเผาออกมา เสียงสูงหลากหลายเสียงดังออกมาจากรูขลุ่ย เทียนสิบเล่มที่จุดไฟอยู่ก็ค่อยๆ ดับลงทีละเล่ม
อินชิงเสวียนที่ยืนอยู่ข้างเขาก็รู้สึกถึงพลังที่ล่องหนอยู่ สายตาของนางแสดงถึงความประหลาดใจออกมา
หรือว่านี่คือพลังภายใน?
เวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น แต่เย่จิ่งหลานสามารถทำได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
เมื่อเห็นดวงตาสองข้างของอินชิงเสวียนเบิกกว้าง เย่จิ่งหลานก็ถามด้วยใบหน้าที่ภาคภูมิใจ
“เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าคิดว่าตอนนี้ข้าพอมีคุณสมบัติที่จะเข้ามาอยู่ในหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์แล้วหรือไม่?”
อินชิงเสวียนถามด้วยความอิจฉาริษยา “ให้ตายเถอะ นับว่าเจ้าเป็นรากกระดูกชั้นยอดและเป็นอัจฉริยะที่จารึกไว้ในหนังสือแล้วสินะ?”
เย่จิ่งหลานหัวเราะแหะๆ พูดด้วยความถ่อมตนว่า “รากกระดูกก็พอมีบ้าง แต่จำนวนไม่มากนัก หากพูดให้ถูกก็คือผลจากน้ำพุวิญญาณ หลังจากชำระวิญญาณล้างไขกระดูกแล้ว ข้าก็รู้สึกโล่งสบายตัวไม่น้อย ราวกับว่าจุดหลิงถายถูกเปิดกว้างมากขึ้นแล้ว”
ตอนนี้เขามีชีวิตที่ดีมาก แม้แต่น้ำล้างเท้าก็เป็นน้ำที่ต้มมาจากน้ำพุวิญญาณ
อินชิงเสวียนเดินมาเหลือบมองเทียนที่อยู่ด้านหน้า เอามือไพล่หลังแล้วพูดว่า “ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร การที่เจ้าสามารถฝึกฝนวรยุทธ์ได้นับเป็นเรื่องที่ดี ข้าจะได้ไม่ต้องคอยเป็นกังวล”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...