เมื่อสบตากัน สีหน้าของฉุยอวี้ก็ซับซ้อนขึ้นเล็กน้อย
เพราะอยู่ห่างไกลกันเกินไป อินชิงเสวียนจึงไม่เห็นสีหน้าของฉุยอวี้ชัดเจน ทั้งยังไม่ต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับนางมากเกินไป
จากนั้นก็นึกถึงหยกเย็นพันปีที่ตัวเองเก็บไว้ในมิติ นางได้มอบสิ่งล้ำค่าให้ หากทำเมินเฉยเหมือนมองไม่เห็นเช่นนี้ ก็ดูจะใจดำเกินไป
หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว อินชิงเสวียนยังรู้สึกว่าต้องไปทักทาย
นางยกกระโปรงขึ้น ก้าวข้ามก้อนหินใต้เท้า แล้วเดินไปทางฉุยอวี้
“ทำไมเจ้าสำนักฉุยถึงมาที่ชายทะเลได้เล่า”
อินชิงเสวียนยิ้มบางๆ น้ำเสียงเรียบๆ ไม่กระตือรือร้นหรือห่างเหิน
ความมืดมนบนใบหน้าของฉุยอวี้หายไปทันที เผยรอยยิ้มอันใจดี
“ได้ยินมาว่าระยะนี้หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์กำลังต่อเรือ ก็เลยอยากมาดู ว่าจะช่วยงานอะไรได้บ้าง”
อินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้มใสกระจ่าง “เจ้าสำนักฉุยเกรงใจไปแล้ว สำนักเราได้จ้างช่างฝีมือ ตอนนี้กำลังคนก็ยังเพียงพอ หากมีความจำเป็น ชิงเสวียนจะไปรบกวนถึงประตูบ้านอย่างแน่นอน”
“ดีแล้ว”
ฉุยอวี้เหลือบมองที่ด้านข้างของเรือ แล้วพูดว่า “ใกล้จะถึงวันสิ้นปีแล้ว ไม่ทราบว่าแม่นางอินมีแผนอะไรหลังตรุษจีน”
อินชิงเสวียนยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “การเป็นมนุษย์ควรมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ตอนนี้เรามาถึงเป่ยไห่แล้ว ควรรับผิดชอบในการทำลายตงหลิวเป็นหลัก”
ฉุยอวี้เป็นคนฉลาด เข้าใจทันทีว่าอินชิงเสวียนหมายถึงอะไร ถ้าตงหลิวไม่ถูกทำลาย นางจะไม่จากไปอย่างแน่นอน
เมื่อมองดูใบหน้าอันงดงามหยาดเยิ้มนั้น ฉุยอวี้ก็รู้สึกมีความสุขมาก
สมแล้วที่เป็นลูกสาวของพี่หญิงใหญ่ ยังเป็นเช่นเดียวกับพี่หญิงใหญ่ ใส่ใจใต้หล้า จิตใจดีมีเมตตา
น่าเสียดายที่เด็กที่ฉลาดเช่นนี้ไม่ได้ถูกหลอมรวมเข้ากับโลกนี้ เจ้าตำหนักมักพูดว่าโลกนี้เท่าเทียมกัน แต่แม้แต่เด็กก็ไม่สามารถยอมรับได้ ตอนนี้เมื่อคิดถึงคำพูดของชายชราแล้ว ช่างน่าขันสิ้นดี
เมื่อนึกถึงอดีต ฉุยอวี้รู้สึกถึงความเกลียดชังในดวงตา
นางไม่เพียงต้องปกป้องอินชิงเสวียนเท่านั้น แต่ยังต้องการล้างแค้นแทนพี่หญิงใหญ่ พานางออกไปจากผาเฟิงเริ่น เพื่อที่จะไม่ผิดต่อธูปสามก้านที่พวกนางจุด!
“เจ้าสำนักฉุย ท่านเป็นอะไรรึ”
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางที่เปลี่ยนไปของฉุยอวี้ อินชิงเสวียนจึงถามขึ้น
ทันใดนั้นสีหน้าท่าทางของฉุยอวี้ก็สงบลง พูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีอะไร ในเมื่อที่นี่ไม่มีอะไรแล้ว ข้าต้องกลับก่อน”
อินชิงเสวียนประกบมือคำนับนางทันที แล้วพูดว่า “เจ้าสำนักฉุยเดินทางดีๆ”
ฉุยอวี้พยักหน้าแล้วหันหลังกลับ ออกจากชายทะเล
เมื่อมองดูแผ่นหลังอันโดดเดี่ยวของนาง อินชิงเสวียนรู้สึกถึงความอ้างว้างในใจอย่างอธิบายไม่ถูก นางอธิบายไม่ได้ว่าทำไม สรุปแล้วก็คือความรู้สึกในขณะนั้นเอง
“นางมาหาเจ้าทำไม”
เสียงของเย่จิ่งหลานดังมาจากด้านหลัง และสีหน้าท่าทางของเขาดูเหมือนผู้คุมงานจริงๆ
อินชิงเสวียนสงบจิตใจ และพูดว่า “ถามว่าที่นี่ขาดกำลังคนหรือเปล่า”
เย่จิ่งหลานหัวเราะเยาะพูดว่า “ทำไมจู่ๆ นางถึงมีจิตใจดีขนาดนี้”
“พวกเขามาที่เป่ยไห่เพื่อต่อต้านตงหลิวเหมือนกัน ทำไมจะไม่มีเจตนาดีล่ะ”
ชื่อเสียงก็เรื่องหนึ่ง พฤติกรรมก็อีกเรื่องหนึ่ง
เพียงเพราะว่าฉุยอวี้มีชื่อเสียงไม่ดี ก็ปิดกั้นความสำเร็จของนางแล้ว
“เจ้าอย่าคุยกับนางดีกว่า จะได้ไม่ถูกจับไปบ่มเพาะร่างกายและจิตวิญญาณ”
เย่จิ่งหลานไม่ได้สนใจว่าจะเป็นผู้หญิง
อินชิงเสวียนด่าทันที “บ่มเพาะร่างกายและจิตวิญญาณบ้าอะไร นางเป็นผู้หญิงนะ”
จู่ๆ เย่จิ่งหลานก็แสดงสีหน้าคลุมเครือ
“อาจจะเล่นจับๆ แตะๆ หรืออะไรสักอย่าง คนในสมัยโบราณมีกลอุบายมากมายจะตาย”
อินชิงเสวียนถามด้วยความสับสน “จับๆ แตะๆ คืออะไร”
เย่จิ่งหลานอึกอัก พูดว่า “ก็คือจับมือหรืออะไรทำนองนั้น ข้าต้องไปทำงานแล้ว ลมพัดแรง เจ้ารีบพาเด็กกลับไปเถอะ”
อินชิงเสวียนตามไปถามว่า “ท่าทางเจ้าดูไม่ชอบกล คงไม่ได้ด่าข้าใช่ไหม”
เย่จิ่งหลานเลียนแบบท่าทางของเฮ่อฉางเฟิง พูดพลางส่ายหัวเหมือนบัณฑิตว่า “ข้าน้อยจะกล้าด่าแม่นางผู้งดงามปานเทพธิดาได้อย่างไร แม่นางคิดมากเกินไปแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...