“เฉินเกอ?”
เมื่อเฉินหลินและหลี่ชือหานเดินเข้ามา เหลือบมองไปเห็นเฉินเกอเป็นคนแรก รวมถึงซูเฉียงเวยที่ยืนอยู่ด้านข้าง
วันนี้ เฉินหลินกับหลี่ชือหานได้จองล่วงหน้าไว้เรียบร้อยแล้ว พวกหล่อนกำลังจะเรียนจบ และกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้ใหญ่
ถ้าไม่ฉวยโอกาสตอนนี้เที่ยวเล่นให้เต็มที่ คงไม่มีเวลาให้สนุกแบบนี้แล้วล่ะ
ก่อนหน้านี้ เคยได้ยินติงห้าวเพื่อนร่วมชั้นมักจะพูดขึ้นบ่อยๆว่าบ้านเกิดเขาสวยมาก
เขาจึงชวนทุกคนไปเที่ยว
ตอนนี้มีเวลาว่างแล้ว ก็เลยชวนพี่น้องและเพื่อนสนิทมาเที่ยวด้วย
คิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอเฉินเกอที่นี่
“เฉินหลิน เธอรู้จักเขาเหรอ?”
ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆถามขึ้น
เมื่อเห็นรูปลักษณ์การแต่งตัวของเฉินเกอ ทำให้ทุกคนรู้สึกขายหน้าแทน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง เป็นผู้หญิงที่ดูไร้ค่ายิ่งกว่า
จนทำให้พวกผู้หญิงต่างพากันพูดซุบซิบนินทาด้วยความไม่พอใจ
“เหอะๆ รู้จักสิ เขาคือเพื่อนมัธยมที่ฉันเล่าให้พวกเธอฟังเมื่อวานไง หึๆ พูดถึงไหนไปถึงนั่นเลยจริงๆ!”
เฉินหลินยิ้มด้วยความดูถูก
งานเลี้ยงของคนหมู่บ้านเดียวกันครั้งที่แล้ว เฉินเกอผู้นี้ยังรู้จักพวกคุณชายโจวเจ๋ออีกด้วย เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้เฉินหลินเป็นอย่างมาก
ทุกคนต่างรู้สึกว่าเฉินเกอกำลังพัฒนาไปทิศทางที่ดี
แต่เมื่อไปสอบถามสืบข้อมูลก็พบว่า ไม่มีอะไรมากนัก
ให้เพื่อนคนหนึ่งไปสืบเรื่องมากจึงรู้ว่าคุณชายโจวลืมเฉินเกอไปแล้ว
เมื่อมีคนถามว่ารู้จักเฉินเกอหรือไม่ เขาตอบว่าไม่รู้จักทันที เฉินเกอคือใคร?
เหอะๆ เหมือนกับที่คนอื่นเขาลือกันว่าคุณชายโจวเป็นคนเงอะงะ ไม่ค่อยรู้เรื่อง เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จึงนึกถึงเรื่องที่โรงแรมเมื่อครั้งก่อน พอความตื่นเต้นดีใจขึ้นมา ก็พูดจาไร้สาระใส่เฉินเกอ
แต่เรื่องนี้กลับน่ากลัวเช่นกัน ไม่รู้ว่าเขารู้สึกผิดกับเฉินเกอรึเปล่า
ดังนั้นเฉินหลินจึงรู้สึกสบายใจมาก เพราะตอนนี้ได้เย้าแหย่เฉินเกอ
“เฉินเกอ หล่อนเป็นแฟนนายเหรอ?”
หลี่ชือหานอดไม่ได้ จึงถามขึ้น
จากนั้นส่ายหน้าเล็กน้อย
คนแบบไหนก็เหมาะกับแฟนแบบนั้นจริงๆ คนจน ก็ต้องหาแฟนจน ดูจากเสื้อผ้าของพวกเขาแล้ว ช่างไร้ราคาเหลือเกิน
ทันใดนั้นหลี่ชือหานรู้สึกขำเมื่อย้อนนึกถึงเรื่องที่หล่อนเคยแอบรักกับเฉินเกอ
”ไม่ใช่ นี่เป็นเพื่อนสนิทของฉัน!”
เฉินเกอพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ฉันก็ว่างั้นแหละ แม้ว่าซูเฉียงเวยจะยากจน แต่หล่อนสวยมาก แต่คงไม่ดีไปกว่าคนจนอย่างเฉินเกอหรอก!”
ทันใดนั้น ติงห้าวพูดขึ้นด้วยความเย็นชา เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักซูเฉียงเวย เพราะพ่อเลี้ยงและแม่เลี้ยงของหล่อนอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านหยุนเหมิง
“ติงห้าว นายรู้จักกับผู้หญิงที่ชื่อซูเฉียงเวยด้วยงั้นเหรอ?”
“แน่นอนสิ ฉันจะเล่าเรื่องหล่อนให้พวกเธอฟัง...”
ติงห้าวพูดเสียงต่ำลง จากนั้นพูดซุบซิบกับพวกหญิง
เมื่อพวกผู้หญิงเหล่านั้นได้ฟังเรื่องราว ต่างพากันมองไปที่ซูเฉียงเวยด้วยสายตาเหยียดหยามมากขึ้น
ซูเฉียงเวยรู้ดีว่าติงห้าวกำลังบอกพวกหล่อนว่าตัวเองเป็นเด็กกำพร้า ที่ไม่มีใครรับเลี้ยง
วินาทีนั้นหล่อนรู้สึกอึดอัดใจมาก กำมือทั้งสองข้างจับชายเสื้อไว้แน่น ก้มหน้าลง
ทันใดนั้นเอง เฉินเกอจับมือของหล่อน บอกหล่อนว่า มีเขาอยู่เคียงข้างเสมอ
“เฉียงเวย พวกเรากลับกันเถอะ!”
เฉินเกอเริ่มรู้สึกทนไม่ไหวกับเพื่อนมัธยมพวกนี้ต่อไปแล้ว
เขาไม่อยากพูดอะไรมาก จึงคิดจะเดินออกไป
“นั่นๆ ยังโมโหอีก อย่าเพิ่งไปสิ ในเมื่อนายตามมาถึงที่นี่แล้ว งั้นฉันก็จะให้กินเนื้อย่างฟรีสักมื้อ พวกเธอคงไม่เคยกินกันสินะ? ฮ่าๆ งั้นดีเลย พวกเรากำลังขาดคนเสียบเนื้อให้ งั้นพวกเธอสองคนอยู่ที่นี่ก่อนแล้วกัน!”
เฉินหลินพูดพลางยิ้มอย่างเยือกเย็น
นี่เป็นสิ่งที่หล่อนเพิ่งคิดขึ้นมาได้ แรงงานฟรีตั้งสองคน สบายขนาดนี้
เฉินเกอไม่สนใจพวกเขา
“ซูเฉียงเวย เธอจะไปจริงเหรอ? เธออยู่กับเฉินเกอก่อนสิ เธอลองคิดดูสิ เรื่องซ่อมถนนเมื่อหลายปีก่อน ถ้าไม่ได้เป็นเพราะพ่อฉัน หลุมศพของพ่อเลี้ยงกับแม่เลี้ยงเธอคงโดนไถทับเป็นถนนไปแล้ว ตอนนี้ฉันเลี้ยงข้าวเธอ ให้ช่วยเสียบเนื้อให้ เธอไม่ยอมงั้นเหรอ?”
ติงห้าวพูดด้วยท่าทีถากถาง
เมื่อก่อนเขาเป็นคนพูดน้อย เขาเปรียบเสมือนเป็นคนไร้ตัวตนในสายตาของทุกคน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทายาทเศรษฐีฉบับหนุ่มจน
เรื่องนี้มีอัพต่อไหมครับ...
เอาข้อศอกแปลเหรอครับมั่วไปหมดแทนนามหญิงเป็นคำว่าผมเฉย...
กูงงกับการเขียนบทให้พระเอก,รวยมีเงิน,มีรถมีทุกอย่างแล้วก่อยังเขียนให้ดูโง่โดนดูถูกตลอดเวลา,คนเขียนบทมีปมปะเนี่ย...
555เขียนบทให้ตัวเอกโง่ดีครับ...
แล้วจะเขียนบทให้ตัวเอกโง่ไปถึงไหนละครับ...
เขียนแบบทำให้ตัวพระเอกโดนดูถูกมากไปหน่อยอ่านแล้วรำคาญ...
รออัพเดท เรื่องนี้จะมีการอัพเดทอีกไหมค่ะ...