ทันใดนั้น ซ่งจืออวี้ก็ลืมตัว ไม่สนแม้สักนิดว่าตนยังยืนอยู่นอกร้าน ปากก็กินไปพร่ำกล่าวชมไป
“น้องหญิงห้า ไก่ทอดนี่เป็นไก่ที่อร่อยที่สุดเท่าที่ข้าเคยกินมาเลย! ไยเจ้าจึงได้เฉลียวฉลาดเยี่ยงนี้ อาหารที่ทำออกมาถึงได้รสเลิศถึงเพียงนี้ได้!”
ซ่งจิ่งเซินเหลือบมองพี่สามที่กินอย่างตะกละตะกลามด้วยสายตารังเกียจ “พี่สาม ท่านกินเสียขนาดนี้ไม่กลัวแขกตกใจเอาหรืออย่างไร เข้าไปกินข้างในเถิด”
ซ่งจืออวี้เองก็รู้ตัวว่าตนมีนิสัยกินมูมมาม พอโดนซ่งจิ่งเซินพูดเช่นนี้อยากจะเถียงกลับ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าของน้องหญิงห้า เขาจึงเกิดรู้สึกกระดากใจขึ้นมาบ้าง
“ก็ได้ ข้าจะเข้าไปกินข้างใน”
แต่แล้วซ่งรั่วเจินกลับยกมือห้าม “ไม่ต้องหรอก พี่สามกินเอร็ดอร่อยถึงเพียงนี้ ผู้อื่นเห็นก็จะได้รู้ว่าอร่อยแน่ๆ พี่สามถือเป็นผู้ช่วยประชาสัมพันธ์เลยทีเดียวล่ะ”
ฟังคำแล้วซ่งจืออวี้ก็ชะงักไป ก่อนจะเพิ่งสังเกตเห็นว่ากลุ่มคนโดยรอบกำลังจ้องมองมายังเขา ในตอนนั้นก็มีคนเดินเข้ามา
“ไก่ทอดนี่ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อน แต่ดูเขากินเสียเอร็ดอร่อยเชียว รสชาติเป็นต้องดีมากแน่ ข้าขอซื้อหนึ่งชุด!”
“ข้าก็ขอซื้อไปลองชิมด้วยอีกชุด!”
เมื่อผู้คนได้ซื้อไก่ทอดไปแล้วก็ราวกับซ่งจืออวี้ไม่มีผิด ต่างพากันอดใจไม่ไหวที่จะนำออกมาลองลิ้มชิมรสชาติไปคำ
รสชาติของมันเรียกได้ว่าหอมละมุน ชวนให้อดใจไม่ไหวอยากกินต่ออีกหลายชิ้นเลยทีเดียว
“อร่อยมาก อร่อยยิ่งนัก! กลิ่นก็หอมเกินไปแล้ว!”
“รสชาติเช่นนี้...ในเมืองหลวงไร้ร้านใดทำไก่ได้เทียบเท่านี้แน่ ไก่รสชาติอร่อยเช่นนี้ต้องทำอย่างไรกันถึงจะทำออกมาได้!”
ซ่งรั่วเจินได้ฟังคำชมที่ออกจะประหลาดพิกลแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เมื่อเสียงเชยชมดังขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนรอบข้างก็มากขึ้นตามไปด้วย
“มันอร่อยขนาดนั้นจริงๆ หรือ? พวกเจ้าไม่ได้แสร้งแสดงละครตบตาใช่หรือไม่?” มีคนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ชีวิตนี้ข้าลิขิตเอง