“ข้าได้ยินมาว่าหลังเจ้าถูกขับไล่ออกจากสกุลเหอก็ไม่มีเงินติดตัว ทำได้เพียงไปอยู่ที่สกุลฉินชั่วคราว ส่วนฉินซวงซวงและหลินจือเยว่ติดเงินข้ายังไม่ได้คืน น่าจะไม่มีเงินมากถึงเพียงนั้นมอบให้เจ้าไปตามหาคนได้กระมัง?”
เมิ่งชิ่นเองก็ช่วยพูด “องครักษ์จวนแม่ทัพของพวกเรามีฝีมือไม่เลว ไม่ว่ามองอย่างไรทำเรื่องลับๆ พรรค์นี้ก็สมควรให้คนสนิทไปลงมือ รั่วเจินไม่ใช่คนโง่ ยังไม่ต้องพูดว่าไปหาอวิ๋นจู๋ตัวไร้ประโยชน์คนนี้ ยังให้เขาไปตามหาคนช่วยที่นอกจวนอีกรึ?”
“เรื่องนี้เพียงได้ยินก็รู้ว่าเป็นความเท็จ ใครเชื่อก็โง่แล้ว!”
คนอื่นเองก็คิดว่าเป็นเช่นนี้จริง เรื่องนี้ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!
เหอเซียงหนิงเห็นสถานการณ์แล้วกลับไม่รีบ “จะต้องเป็นเพราะนางกังวลว่าจะถูกคนในครอบครัวรู้เรื่องนี้ จึงไปหาคนที่นอกเมือง”
“คนอื่นในสกุลซ่งล้วนเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่มีวันปล่อยให้นางทำเรื่องโหดเหี้ยมพรรค์นี้”
ซ่งจืออวี้หัวเราะออกมาอย่างสุดระงับ “คราวนี้กล่าวหาพวกเรา ต้องการยุแยงความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของพวกเรา? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ไม่มีวันเสียหรอก!”
“เดิมทีน้องหญิงห้าของข้าก็ไม่ใช่คนใจคอโหดเหี้ยม หาไม่แล้วนางคิดอยากได้ชีวิตของเจ้า เดิมทีก็ไม่ต้องไปหาคนอื่น ข้าไปฆ่าเจ้าก็พอแล้ว!”
เพียงถ้อยคำนี้พูดออกมา ทุกคนล้วนมีสีหน้าตกตะลึง คิดไม่ถึงเลยว่าซ่งจืออวี้จะพูดคำเช่นนี้ออกมาต่อหน้าทุกคน
กระนั้นลองคิดดูให้ดี เดิมทีซ่งจืออวี้ก็เป็นคนไร้แก่นสาร ไม่กลัวฟ้าดิน มิหนำซ้ำวิชายุทธ์ยังแข็งแกร่งล้ำเลิศ คนทั่วไปไม่อาจเทียบเขาได้
แม้ถ้อยคำนี้พูดไม่น่าฟัง กลับทำให้ทุกคนเข้าใจว่าหากซ่งรั่วเจินต้องการคนลงมือ เดิมทีก็ไม่ต้องไปหาตัวไร้ประโยชน์เหล่านั้น!
“ข้ายังหาพบอีกหนึ่งคน เป็นน้องสาวของอดีตสาวใช้ประจำตัวของซ่งรั่วเจิน นางสามารถเป็นพยานได้ว่าซ่งรั่วเจินโหดเหี้ยมอำมหิตมากเพียงใด!”
ถังเสวี่ยหนิงเห็นสถานการณ์แล้วก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ รีบเรียกคนเข้ามา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ชีวิตนี้ข้าลิขิตเอง