เมื่อยามราตรีค่อยๆ ย่างกรายมาถึง ฉู่จวินถิงก็มารับตัวซ่งรั่วเจินไป
หลิ่วหรูเยียนมองดูบุตรสาวของตนที่ถูกรับตัวออกไปแล้วใบหน้าก็ผุดพรายด้วยรอยยิ้ม นางทอดถอนใจเอ่ย “ลูกสาวโตแล้วก็ยากที่จะรั้ง เจินเอ๋อร์คงมีใจให้ฉู่อ๋องแล้วเป็นแน่”
ในฐานะคนผ่านโลกมาก่อน นางย่อมรู้ดีว่าสายตาของคนมีความรักนั้นยากจะปกปิด
ท่าทีของเจินเอ๋อร์ที่มีต่อฉู่อ๋องก่อนหน้านี้ช่างแตกต่างจากตอนนี้โดยสิ้นเชิง คิดแล้วต่อไปก็เหลือเพียงรอฟังข่าวดีแล้ว
“ฮูหยิน ฉู่อ๋องเป็นบุรุษที่หาได้ยากในโลกหล้า ทั้งยังจริงจังจริงใจต่อคุณหนู ดูแล้วหากแต่งออกไปคงไม่มีทางทำคุณหนูของเราต้องเสียใจแน่เจ้าค่ะ” แม่นมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วหรูเยียนก็พลอยยิ้มตาม “ก่อนนี้ข้ายังเป็นกังวลเรื่องเจินเอ๋อร์อยู่บ้าง นางนิสัยใจคอเหมือนกันกับข้า ยากจะเลี่ยงถูกผู้อื่นรังแก บัดนี้ข้ากลับคิดว่าใครจะรังแกนางก็คงมิใช่เรื่องง่ายดายเสียแล้ว”
“อีกทั้งหากฉู่อ๋องทำถึงขั้นนี้แล้ว ก็ย่อมไม่มีทางแต่งนางเข้าไปเพื่อรังแกแน่”
“ฮูหยินวางใจเถิดเจ้าค่ะ คุณหนูของเราเป็นคนมีวาสนาที่ดี!”
ซ่งรั่วเจินตามฉู่จวินถิงขึ้นมานั่งยังรถม้า นางมองดูใบหน้าที่ดูอิดโรยเล็กน้อยของเขาก่อนจะเอ่ยถาม “เสวยมื้อเย็นแล้วหรือยังเพคะ?”
เดิมทีฉู่จวินถิงคิดว่านางคงจะอดรนทนไม่ไหวอยากจะถามถึงผลสอบสวน แต่กลับไม่นึกว่าแม่นางผู้นี้จะเอ่ยปากถามไถ่ใส่ใจปากท้องเขาขึ้นมาเช่นนี้ ในใจจึงคล้ายถูกสัมผัสแตะด้วยความอ่อนโยน รอยยิ้มในดวงตาลึกซึ้งขึ้นกว่าเก่า
“หากข้าบอกว่ายังไม่ได้กินเล่า เจ้าก็คิดจะเข้าครัวด้วยตนเองเพื่อข้าหรือ?”
ซ่งรั่วเจินเลิกคิ้ว “จวนฉู่อ๋องใหญ่โตเพียงนี้ คงมิขาดแม่ครัวกระมัง?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ชีวิตนี้ข้าลิขิตเอง