นายหญิงหลิ่วงุนงง “หมายความว่าอย่างไร?”
“ร้านขายไก่ทอดเป็นการค้าที่เจินเอ๋อร์คิดค้น ไม่รู้ว่าทุ่มเทความคิดไปมากมายเท่าไร ข้าเคยพูดตอนไหนหรือว่าจะยกให้พวกท่าน?”
หลิ่วหรูเยียนมีสีหน้าประหลาดใจ “ที่ผ่านมาท่านแม่เอาแต่เรียกร้องสิ่งของจากข้าก็แล้วไปเถอะ แต่ในฐานะผู้อาวุโสคงไม่ถึงกับไม่สนใจแม้แต่เกียรติขั้นพื้นฐาน ยังจะมาเรียกร้องจากหลานสาวอีกกระมัง?”
สิ้นวาจานี้ ถึงจะเป็นนายหญิงหลิ่วที่หนังหน้าหนามาโดยตลอดก็เริ่มจะวางหน้าไม่สนิทเสียแล้ว “หรูเยียน เจ้าพูดอะไรออกมา? นี่คือกิจการตระกูลซ่งไม่ใช่หรือ?”
“นี่ไม่ใช่ของตระกูลซ่ง แต่เป็นของเจินเอ๋อร์”
นายหญิงหลิ่วยังว่า “พวกเขาล้วนแต่เป็นเด็กตระกูลซ่ง ของของพวกเขาก็ล้วนแต่เป็นของของตระกูลซ่งไม่ใช่รึ?”
“ร้านค้าบนถนนเส้นนั้นเดิมก็เป็นสิ่งที่ตระกูลฉินชดเชยให้อี้อัน อี้อันลำบากมามากขนาดนั้น คนเป็นแม่อย่างข้ายังต้องเรียกร้องสินชดเชยพวกนั้นมาจากเขาอีกหรือเจ้าคะ?”
“ข้าไม่รู้ว่าแม่คนอื่นคิดอย่างไร แต่ลูกชายที่ข้าให้กำเนิดมา ข้ารักของข้า นี่เดิมก็เป็นของของเขา ย่อมไม่มีการเรียกร้องจากเขา พวกเขาพี่น้องก็เห็นด้วยกันทุกคน”
หลิ่วหรูเยียนกล่าวอย่างมีเหตุมีผล นี่เป็นความจริง
หลังจากได้โฉนดมาจากตระกูลฉินวันนั้น นางก็ส่งต่อให้อี้อัน แต่ซ่งอี้อันบอกว่าเขาไม่ถนัดค้าขาย นอกจากนี้ล้วนแต่เป็นพี่น้องกัน ไม่จำเป็นต้องจุกจิกขนาดนั้น จึงยกทั้งหมดให้ซ่งรั่วเจินและซ่งอี้อันไปจัดการ
นายหญิงหลิ่วกลับรู้สึกแค่ว่าถูกหลิ่วหรูเยียนพูดเหน็บแนม ความหมายในคำพูดก็คือบอกว่ามารดาอย่างนางไม่ดีต่อหลิ่วหรูเยียนไม่ใช่หรือ?
หลิ่วเฟยเยี่ยนได้ยินคำพูดนั้นกลับดีใจขึ้นมา เอ่ยว่า “พี่สาวพูดไม่ผิด ร้านค้าเป็นของอี้อัน พวกเราที่เป็นผู้อาวุโสย่อมไม่อาจไปขอมา”
“ทำเช่นนี้ดีไหมเจ้าคะ มอบสูตรไก่ทอดให้พวกเราคนละชุด พวกเราเปิดร้านกันเองเป็นอย่างไร?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ชีวิตนี้ข้าลิขิตเอง