ขันทีเหลือบมองระหว่างฉินเจิงและบุตรชายแล้ว สายตาก็หยุดอยู่ที่กู้อวิ๋นเวยผู้ซึ่งเสื้อผ้ายับยู่ผมเผ้ายุ่งเหยิง แววตาเขาพลันฉายแววแกมแฝงเย้ยหยัน
“อาภรณ์ของฉินฮูหยินแปลกใหม่ดีแท้”
ฉินเจิงกลับจ้องมองกู้อวิ๋นเวยด้วยสายตาวาวโรจน์ รู้สึกอับอายขายขี้หน้าผู้คนอย่างถึงที่สุด!
ฉินซวงซวงทำอับอายมากพอแล้ว คนเป็นมารดาอย่างกู้อวิ๋นเวยก็ยังทำขายขี้หน้าไปด้วย เกียรติศักดิ์ศรีของฉินเจิงผู้นี้จึงคล้ายจะถูกสองแม่ลูกคู่นี้ทำลายเสียจนสิ้นแล้ว!
กู้อวิ๋นเวยมีสีหน้าลำบากใจ นางทำได้เพียงดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้นฝืนทนความเจ็บปวดทางกาย ไม่เพียงแต่ศีรษะและใบหน้า กระทั่งตามเนื้อตัวก็ล้วนเต็มด้วยร่องรอยแผลฟกช้ำ!
“ด้วยโองการแห่งสวรรค์ ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชา ฉินเจิงปกครองเรือนมิรัดกุม ครานี้ถึงกับกุเรื่องใส่ความผู้อื่น สอนสั่งนับครั้งมิปรับปรุงแก้ไข ให้โทษลดตำแหน่งเป็นรองเสนาธิการเจาอู่!”
สิ้นคำกล่าวของขันที สีหน้าฉินเจิงก็ซีดขาวไร้เลือด เขาทรุดนั่งเหม่อลอยกับพื้นราวกับสูญสิ้นหมดทั้งเรี่ยวแรง
หลายปีมานี้เขาดำรงตำแหน่งแม่ทัพหมิงเวยขั้นสี่ เพราะไม่มีผลงานโดดเด่นใดในสนามรบ จึงไม่เคยมีโอกาสใดในการเลื่อนขั้น
แต่บัดนี้เขากลับถูกลดขั้นลงไปเป็นเพียงรองเสนาธิการเจาอู่ระดับหก!
ต่างกันราวกับฟ้าและเหวโดยแท้!
ด้วยวัยของเขาในตอนนี้ การจะหวนคืนสู่ตำแหน่งเดิมเรียกได้ว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลย!
“แม่ทัพฉิน รักษาตนให้ดีเถิด” ขันทีส่งต่อราชโองการให้ฉินเจิงกับมือ
“กงกง เรื่องนี้ยังมีหนทางใดพอแก้ไขได้หรือไม่? ข้ามิทราบเรื่องราวจริงๆ!” ฉินเจิงรีบเอ่ย “ขอเพียงกงกงช่วยเหลือข้าได้ มิว่าจะเป็นสิ่งใดข้าก็ล้วน...”
“ป่วยการ” ขันทียกมือขึ้นเป็นเชิงหยุดถ้อยคำของเขา “แม่ทัพฉิน เรื่องก็เกิดมาจากที่ท่านเลี้ยงดูบุตรสาวให้เป็นเช่นนี้ สร้างเรื่องมิหยุดหย่อนแล้วก็ยิ่งมิสั่งสอนตักเตือน”
“ก่อนนี้เรื่องยังมิบานปลายถึงฝ่าบาทก็ยังพอทำเนา บัดนี้ถึงขั้นรู้เห็นเป็นใจสมคบคิดป้ายสีผู้อื่นต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้และฮองเฮา มิรู้ว่าคิดได้อย่างไรกัน?”
“บัดนี้เพียงลดตำแหน่งลงมาเป็นข้าราชการขั้นหกก็นับว่ามิเลวแล้ว ถือว่ายังได้รับน้ำพระทัยจากฮ่องเต้ มิเช่นนั้นท่านคงมิมีแม้แต่โอกาสจะได้เหยียบย่างเข้าท้องพระโรงเสียแล้ว!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ชีวิตนี้ข้าลิขิตเอง