บัดนี้ยังมีผู้ใดบ้างเล่ากล้าตั้งสัตย์สาบานต่อหน้าซ่งรั่วเจิน?
กลางวันแสกๆ นางก็สามารถเรียกทัณฑ์อัสนีมาสังหารคนทั้งเป็นได้ หากตั้งสัตย์เท็จจะไม่เท่ากับรนหาที่ตายเองหรอกหรือ?
ดวงตานายหญิงหลิ่วหดเกร็งด้วยหวั่นเกรง นางไม่ได้อยากตาย!
“เจินเอ๋อร์ นางเป็นถึงท่านยายของเจ้า เจ้าก็อายุอานามเพียงเท่านี้เหตุใดจึงได้ใจคอโหดร้ายเพียงนี้!”
นายท่านหลิ่วว่าด้วยขุ่นเคืองแกมแฝงด้วยความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด “ช่างเถิด ดูเหมือนพวกเจ้าจะไม่ต้อนรับพวกข้าแล้วจริงๆ จึงได้ใช้วิธีต่ำช้าถึงเพียงนี้เพื่อตัดสัมพันธ์กับพวกข้า”
“ข้าไม่รู้หรอกว่าพวกเจ้าวางแผนรัดกุมรอบคอบเช่นนี้ไปเพื่ออะไร แต่พวกเราจะไปให้เดี๋ยวนี้แหละ!”
ว่าพลาง นายท่านหลิ่วก็จูงมือนายหญิงหลิ่วเดินจากไป ท่าทีโกรธเกรี้ยวดูราวกับถูกเหยียดหยามเต็มประดา
ซ่งรั่วเจินมองดูละครลวงโลงแสนช่ำชองจากครอบครัวนี้แล้ว ในดวงตาก็ฉายแววเย้ยหยัน
อุตส่าห์วางแผนมาอย่างดิบดีเพื่อแสดงละครฉากหนึ่ง บัดนี้ยังคิดเสแสร้งแกล้งทำตนเป็นผู้ถูกกระทำให้ผู้อื่นชี้หน้าด่าทอพวกนาง มีหรือที่เรื่องจะง่ายดายได้เช่นนั้น?
“หรือจะถูกข้าพูดแทงใจเข้า จึงได้ร้อนตัวจนต้องรีบหนีกลับกัน?” ซ่งรั่วเจินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
หลิ่วเฟยเยี่ยนมองนางด้วยความไม่อยากจะเชื่อในสายตา “เจ้าเด็กไม่มีสัมมาคารวะ! กระทั่งผู้อาวุโสก็ยังไม่เห็นหัว เจ้าคิดจะท้าทายฟ้าดินหรืออย่างไร!”
“หรือเจ้าคิดจะบีบให้ผู้อาวุโสตั้งสัตย์สาบานเสียให้ได้ ไยจึงมิดูฐานะตนเองเสียบ้างจึงได้กำเริบเสิบสานเพียงนี้!”
“มีสิ่งใดให้มิกล้ากันเจ้าคะ?”
ซ่งรั่วเจินหาได้ใส่ใจคำด่าทอเหล่านี้แม้แต่นิด กลับกันไม่ว่าจะมีสัมมาคารวะหรือไม่มี พวกเขาก็ล้วนหาข้อครหามาให้ร้ายนางได้อยู่ดี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ชีวิตนี้ข้าลิขิตเอง