“อะไรกัน? ใต้เท้าหลิ่วมิกล้าอย่างนั้นหรือ?” ฉู่จวิ้นถิงกล่าวเสียงขรึม
ใต้เท้าหลิ่วนิ่งเงียบอยู่ครู่ ก่อนมีทีท่าคล้ายหมดเรี่ยวแรงแล้วก็มิปาน พลางหันมองนายหญิงหลิ่วด้วยความจนใจ “ช่างเถิด เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้วก็พูดไปเสียเถิด”
นายหญิงหลิ่วย่อมไม่อยากที่จะยอมรับความจริง ทว่ากลับรู้ดีว่าไม่อาจเลี่ยงต่อไปได้อีก นางจึงได้แผดเสียงร่ำไห้โหยหวน “ข้าเองก็มิรู้เช่นกันว่สารเลวคนไหนมันสับเปลี่ยนลูกข้าไป!”
“หลายปีมานี้ข้าก็เลี้ยงดูหรูเยียนดังบุตรในไส้มาโดยตลอด จนเมื่อไม่นานมานี้จึงเพิ่งได้รู้ว่านางมิใช่บุตรสาวแท้ๆ ของข้า! แต่อย่างไรพระคุณเลี้ยงดูย่อมยิ่งใหญ่กว่าพระคุณให้กำเนิด หรือเพียงเพราะเรื่องเท่านี้ก็ทำให้มิอาจยอมรับข้าผู้นี้เป็นแม่เจ้าแล้ว?”
ใต้เท้าหลิ่วเองก็กล่าวด้วยสีหน้าปวดร้าวเช่นกัน “ครานั้น ฮูหยินข้าตั้งครรภ์ลูกถึงสิบเดือนจนคลอดออกมา บัดนี้กลับไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าลูกไปอยู่แห่งหนใด หรือยังจะกล่าวโทษพวกข้าด้วย?”
“ที่พวกข้าปิดเอาไว้มิยอมพูด ก็เพราะมิต้องการให้หรูเยียนปฏิบัติห่างเหินต่อพวกข้า มินึกเลยว่า...”
ผู้คนได้เห็นสกุลหลิ่วออกปากยอมรับด้วยตนเองเช่นนี้แล้วก็อดทอดถอนใจไม่ได้ เสียก็เพียงแต่คำอธิบายของพวกเขานั้น หาได้มีผู้ใดเชื่อถือแม้แต่ครึ่งคำ!
“เพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้อะไรกัน ข้าว่าคงรู้มาตั้งนานแล้วกระมัง จึงได้ลำเอียงต่อนางถึงเพียงนี้”
“คนหนึ่งบุตรในไส้ อีกคนมิใช่ หากมิใช่เพราะซ่งฮูหยินเห็นถึงความผิดปกติ เกรงว่าคงจะถูกปิดเช่นนี้ไปตลอด”
“เมื่อครู่คุณหนูซ่งก็ได้พิสูจน์อย่างชัดเจนแล้ว พวกเขากลับยังปฏิเสธหัวชนฝาอยู่ได้ หากไม่มีเจตนาซ่อนเร้นมีหรือจะยอมทำถึงขั้นนี้?”
ผู้คนในที่นั้นล้วนกระจ่างแจ้งในใจแล้ว ว่าที่สกุลหลิ่วไม่ยอมรับเสียแต่แรกก็เพื่อต่อไปจะได้ขูดรีดประโยชน์จากสกุลซ่งต่อไป ทันทีที่ถูกเปิดโปงจะเป็นทรัพย์สินสมบัติใดก็ไม่อาจร้องขอได้ง่ายดายสมเหตุผลปานนี้แล้ว
“ที่แท้ก็รู้อยู่นานแล้วนี่เอง มิน่าคนทั้งสกุลหลิ่วไม่ว่าจะหน้าไหนก็ล้วนชี้นิ้วสั่งการท่านแม่ข้าได้ ขอเพียงไม่พอใจเรื่องใดก็ถูกตำหนิอย่างรุนแรง คอยแต่จะบีบคั้นท่านแม่ข้าด้วยคำขู่ตัดสัมพันธ์อยู่ร่ำไป”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ชีวิตนี้ข้าลิขิตเอง