อยู่ดีๆ ไฉนจึงพูดถึงเขาได้เล่า!
งานเลี้ยงเลิกรา พี่น้องตระกูลซ่งไปส่งแขกเหรื่อที่หน้าประตูพร้อมกับหลิ่วหรูเยียน
“เจินเอ๋อร์ เจ้าไปส่งพวกท่านอ๋องเถอะ”
สายตาหลิ่วหรูเยียนตกลงบนร่างฉู่จวินถิงที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ในดวงตาเต็มไปด้วยความพึงพอใจ “วันนี้ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากท่านอ๋อง เกรงว่าคงไม่สามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้ง่ายดายปานนี้ ฝากเจ้าไปขอบคุณดีๆ แทนแม่ด้วย”
ซ่งรั่วเจินได้ยินอย่างนั้นก็กวาดสายตาไปมองแล้วก็พบว่าฉู่จวินถิงกำลังมองนางอยู่ คนทั้งสองประสานสายตากัน
มุมปากฉู่จวินถิงโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม ทั้งที่เป็นยามราตรีแท้ๆ แสงจันทร์กลับดูจะอ่อนโยนต่อเขาเป็นพิเศษ ทำให้ไอเย็นบนร่างเขาจืดจางลง ทั้งตัวคนแลดูอ่อนโยนประดุจหยก กระทั่งรอยยิ้มก็ยังดูมีเสน่ห์เป็นพิเศษ
เขามีรูปโฉมหล่อเหลา ทั่วทั้งเมืองหลวงไม่มีใครไม่รู้ ทว่ารูปลักษณ์อบอุ่นอ่อนโยนของเขาในยามนี้กลับเหมือนหินหยกที่เปล่งประกายแวววาม ชวนให้คนหลงใหลในความอ่อนโยนนั้น
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ”
ซ่งรั่วเจินตอบรับแล้วเดินมาถึงตรงหน้าพวกฉู่จวินถิง
สายตาชายหนุ่มจับจ้องนางตั้งแต่เดินมาแล้ว เปิดเผยชัดเจนโดยไม่หลีกเลี่ยงแม้แต่น้อย
ความคลุมเครือบริเวณมุมลับตาคนก่อนหน้านี้ปรากฏขึ้นในความคิดนางโดยไม่รู้ตัว ความอึดอัดวาบผ่านดวงหน้างาม นางกล่าวว่า “แม่ข้าบอกว่าวันนี้โชคดีนักที่ท่านอ๋องช่วยออกหน้ามอบความเป็นธรรมให้ จึงให้หม่อมฉันมาขอบพระทัยเพคะ”
ฉู่จวินถิงแววตาสว่างวาบ น้ำเสียงดังกว่าเดิมเล็กน้อย “ท่านป้าพูดเช่นนี้?”
“เพคะ” ซ่งรั่วเจินพยักหน้า
รอยยิ้มตรงมุมปากฉู่จวินถิงชัดเจนกว่าเดิมจนเจิดจ้าเป็นพิเศษ “เจ้ากลับไปแล้วอย่าลืมบอกท่านป้าว่าวันหน้าหากต้องการความช่วยเหลือจากข้าเมื่อใดก็บอกมาได้เต็มที่”
ซ่งรั่วเจินเหล่ตามองเขา “...”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ชีวิตนี้ข้าลิขิตเอง