โจวหลี่ได้รู้ว่าซ่งรั่วเจินวางแผนเชิญหัวหน้าตระกูลที่กักตุนเสบียงอาหารมา รีบก้าวเท้าฉับไวเข้ามา สีหน้าเปี่ยมความกังวล
“แม่นางซ่ง ข้ารู้เจ้าทำเช่นนี้เพื่อราษฎรทั้งเมือง แต่ก่อนหน้านี้ข้าเคยไปเจรจากับพวกเขามาก่อน ไม่ว่าพูดเยี่ยงไรก็ล้วนไร้ความหมาย”
ได้ยินดังนั้น ซ่งรั่วเจินก็หัวเราะเบาๆ “ไร้ความหมายก็ไม่เป็นไร ตรงข้ามกันเพียงแต่เชิญมาเจรจาดูเท่านั้น”
“ข้ากังวลพวกเขาพูดจาไม่ไพเราะ โดยเฉพาะแม่นางในห้องหอคนหนึ่งอย่างเจ้า จะต้องถูกรังแกแน่”
โจวหลี่เผยสีหน้าเอือมระอา เขาไม่เข้าใจแม่ทัพซ่งกำลังคิดอันใด ถึงขั้นมอบเรื่องนี้ให้แม่นางซ่งไปจัดการ
ต้องรู้ว่าพวกพ่อค้าเหล่านั้นแต่ละคนล้วนเจ้าเล่ห์ หากขัดแย้งกันขึ้นมา ก็สามารถทำให้คนโมโหตายได้!
แม้แต่ชายตัวโตอย่างเขาพูดกับพวกเขาก็ไร้ประโยชน์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซ่งรั่วเจินแม่นางอ่อนแอบอบบางคนหนึ่ง น่ากลัวว่าจะรังแกจนนางร้องไห้
“ใต้เท้าโจวไม่จำเป็นต้องกังวล เรื่องเล็กนี้ไม่สามารถทำให้ข้าตกใจได้”
ซ่งรั่วเจินยกมุมปาก นางเป็นถึงเจ้าสำนักเต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ก็แค่พวกตาเฒ่าดื้อรั้นสองสามคน คิดจะขู่นางรึ?
ต่อให้เป็นเจ้าของร่างเดิม ทำการค้าในเมืองหลวงมานานหลายปี มีจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เยี่ยงไรยังไม่เคยเห็นมาก่อน?
พูดไปแล้ว โจวหลี่ก็คือบัณฑิตอ่อนแอ เพราะนายอำเภอตายไป เขาเป็นเพียงที่ปรึกษาขุนนางคนหนึ่ง จัดการเรื่องเหล่านี้โดยไร้ตำแหน่งอำนาจ คนเหล่านั้นถึงกล้าสร้างความลำบากให้
หากเปลี่ยนเป็นแม่ทัพบู๊คนหนึ่ง ไฉนเลยคนเหล่านั้นจะกล้าได้คืบเอาศอก?
ได้เห็นซ่งรั่วเจินตัดสินใจแล้ว โจวหลี่ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างเอือมระอา
“ใต้เท้าโจว ท่านวางใจเถอะ น้องสาวข้าไม่ใช่คนที่ร้องไห้ตกใจอย่างง่ายดาย”
ครู่ต่อมาซ่งจืออวี้โบกมือ เขายังจำตอนที่น้องหญิงห้าลงมือได้ ตบหน้าคนจนบวมเปล่งได้โดยที่ตาไม่กะพริบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ชีวิตนี้ข้าลิขิตเอง